
PRS Standard – Part 1 – Standard กีตาร์รุ่นสร้างแบรนด์
Key takeaways:
- รุ่น Standard มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากรุ่น Custom
- เป็นกีตาร์รุ่นที่ออกแบบและสร้างเพื่อโชว์ในงาน NAMM 1985 รวมถึงนำไปเป็นเป็นสินค้าตัวอย่างให้ร้านขายกีตาร์ดูเนื้องานก่อนสั่งซื้อ ซึ่ง Mr. Paul Reed Smith ใช้เงินก้อนนี้ตั้งโรงงานแห่งแรก จึงถือเป็นกีตาร์รุ่นแรกๆ ที่ช่วยให้บริษัท PRS Guitars สามารถตั้งตัวได้
- ราคาต่ำกว่ารุ่น Custom แต่การใช้งานไม่ต่างกัน
ปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) ที่ Mr. Paul Reed Smith เปิดบริษัท Paul Reed Smith Guitars ลุงพอลและทีมงานตอนนั้นได้ออกแบบและสร้างกีตาร์รุ่นสร้างตัวขึ้นมา 2 รุ่น เพื่อเป็นสินค้าตัวอย่างให้ร้านกีตาร์ต่างๆ ในอเมริกาดูก่อนออเดอร์ กีตาร์ PRS 2 รุ่นนั้นก็คือรุ่น Custom กับ Standard นั่นเอง
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 40 ปีมาแล้ว กีตาร์สองรุ่นนี้ต่างก็วิวัฒน์เปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของจังหวะเวลา บางช่วงก็มีหยุดสายการผลิตไป ข่าวดีคือปีนี้ PRS กลับมาเปิดตัวรุ่น Standard ในซีรีส์ Core อีกครั้งซึ่งเป็นการกลับมาครั้งแรกในรอบ 14 ปีในซีรีส์ Core เพื่อทบทวนเรื่องราวของกีตาร์รุ่นประวัติศาสตร์ของแบรนด์ PRS รุ่นนี้ วันนี้ผมจึงอยากเขียนบทความเล่าเกี่ยวกับความเป็นมาของกีตาร์รุ่น Standard รวมถึงรวบรวมข้อมูลรุ่นย่อยต่างๆ ใน model family นี้ครับ
ก่อนจะมาเป็น PRS Standard
ในยุค 1980s แบรนด์ Paul Reed Smith ยังเป็นเพียงแบรนด์ของช่างสร้างกีตาร์ที่เปิดช็อปเล็กๆ ที่ถนน West Street เมือง Annapolis รัฐ Maryland ตอนนั้นช่างพอลและทีมงานรับสร้างกีตาร์แบบสั่งทำ มีหลากหลายทรง แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก Gibson Les Paul Doublecut คือใช้ไม้ mahogany เป็นวัตถุดิบหลักของ tone wood และสร้างขึ้นเป็นตัวกีตาร์ด้วยใช้สกิลช่างแนว DIY อะไหล่มาประกอบ ลูกบิดยี่ห้อนึง บริดจ์ยี่ห้อนึง นัทก็ทำเอง อินเลย์นกก็เลื่อยด้วยมือ ปิคอัพบางทีก็ทำเองเอา สวิทช์ต่างๆ ก็หาอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์มาต่อวงจรเอง
จน ณ จุดนึง ช่างพอลก็คิดว่า งานซ่อมสร้างแบบนี้มันก็เรื่อยๆ แต่อยู่ลำบาก อยากทำอะไรที่มันเป็นธุรกิจสเกลใหญ่ขึ้นเพื่อ make a living หรือสร้างรายได้มั่นคงเลี้ยงตัวเองและทีมงานได้อย่างยั่งยืน จึงวางแผนธุรกิจด้วยการคิดใหม่ออกแบบกีตาร์รุ่นใหม่ที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าที่ผ่านมา ผ่านการออกแบบเส้นสายและส่วนประกอบต่างๆ ที่ไร้ข้อบกพร่องอย่างที่คู่แข่งเจ้าหลักในตอนนั้นมักมีปัญหากัน (เพราะเป็นช่างซ่อมกีตาร์มาก่อนจึงรู้จุดอ่อนคู่แข่งดี) พัฒนาจนเป็นกีตาร์ใหม่ 2 รุ่น ชื่อรุ่น Paul Reed Smith และ Paul Reed Smith Custom ถึงตรงนี้หลายคนอาจงงกับชื่อรุ่นว่าทำไมมันแปลกๆ ไม่เหมือนตอนนี้ นั่นก็เพราะว่าในวันนั้นเค้าคิดขึ้นมาได้แค่นี้ ยังมองไม่ออกว่าอนาคตมันจะแตก variations อะไรไปได้อีกบ้างเพราะเมื่อปี 1984 โลกยังไม่รู้จักกีตาร์ยี่ห้อนี้ ลุงก็ไม่รู้ feedback จากลูกค้าว่าจะติชมอะไรบ้าง ไม่รู้จะได้มีโรงงานผลิตใหญ่ๆ อย่างที่ฝันไหม รวมทั้งไม่ได้คิดว่าต่อไปจะมีรุ่น 22 เฟรทไว้ด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้เท่าที่ทำ เค้าก็ตั้งชื่อรุ่นง่ายๆ รุ่นที่สีทึบดูเรียบง่ายมาตรฐานกลางๆ ก็ใช้ชื่อแบรนด์ (ชื่อตัวเอง) นั่นแหละ ส่วนรุ่นที่มีลายไม้สวยๆ นั่นก็ชื่อ Custom ละกันเพราะกระบวนการสร้างซับซ้อนกว่า แต่เห็นเหมือนง่ายอย่างนั้น กว่าจะวาดทรง PRS ที่เราคุ้นตาได้อย่างนั้น ลุงพอลต้องปรับแบบอยู่เป็นปีๆ อะไหล่ต่างๆ ที่ต้องออกแบบใหม่จนมี patents ของตัวเองได้อย่างระบบคันโยกและลูกบิดล็อกสายนั่นก็ต้องพยายามลองผิดลองถูกช่วยกันระดมสมองกับทีมงานอยู่นานกว่ามันจะไปติดตั้งอยู่บนกีตาร์สองตัวแรกนั่นได้ ส่วนตัวผมคิดว่าที่แกทำได้ขนาดนั้นในปีนั้นที่เครื่องไม้เครื่องมือค่อนข้างจำกัด ก็เก่งมากแล้ว
ช่วงปลายปี 1984 ลุงพอลพากีตาร์ PRS รุ่นต้นแบบสองตัวนั้นเดินทางตระเวนไปตามร้านขายกีตาร์ดังๆ ทั่วประเทศอเมริกาแถบชายฝั่งตะวันออกเพื่อให้ทางร้านดูประกอบการตัดสินใจเปิดออเดอร์ ในครั้งนั้นลุงพอลสามารถรวบรวมยอดคำสั่งซื้อได้มากถึง 300,000 ดอลลาร์ (เทียบเงินเฟ้อ ณ ปีนี้ได้ประมาณ $880,000 หรือราวๆ 30 ล้านบาท) ลูกค้าใหญ่สุดของตอนนั้นคือร้าน Sam Ash Music ประเดิมออเดอร์แรก 30 ตัว เงินจำนวนนี้รวมกับเงินก้อนจากหุ้นส่วนรวมเป็น 500,000 ดอลลาร์ ก็มากพอที่จะหาที่ดินตั้งโรงงานเล็กๆ ซื้อวัตถุดิบ เครื่องจักรอุปกรณ์ และจ้างคนงาน เลื่อนสถานะ Mr. Paul Reed Smith จากช่างซ่อมสร้างกีตาร์สู่เจ้าของกิจการขนาดย่อมในเดือนสิงหาคม ปี 1985
นอกจากตระเวนขายออเดอร์แล้ว ช่วงต้นปี 1985 ลุงพอลได้นำกีตาร์ต้นแบบนี้ซึ่งผลิตขึ้นมา 20 ตัว (ยังไม่มีเลข serial number) ออกจัดแสดง ณ งานจัดแสดงเครื่องดนตรี NAMM Show ปีนั้นด้วย แต่เหมือนไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่ เนื่องจากในยุคนั้นดนตรีแนว shred metal, hair band, guitar hero ต่างๆ นานากำลังมาแรง ลูกค้านิยมกีตาร์รูปทรงแหลมเฟี้ยว สีทึบ ติดคันโยก ฯลฯ อะไรทำนองนั้น (นึกถึง Jackson, Ibanez, B.C. Rich, ESP ฯลฯ) ซึ่งดูเท่ทันสมัยมากกว่ากีตาร์แนวสวยธรรมชาติติดกลิ่นอายวินเทจลูกครึ่ง Gibson ผสม Fender แบบที่ PRS นำเสนอ จะว่าดีไซน์หลงยุคไปนิดก็คงได้ แม้แต่สื่อสมัยนั้นก็ไม่ค่อยให้แสง

(Photo credit: prsguitars.com)

(Photo credit: prsguitars.com)
ผมเคยดูคลิปลุงพอลเล่าเกี่ยวกับช่วงชีวิตที่ดิ้นรนหาเงินก้อนแรกมาตั้งโรงงาน มีประโยคหนึ่งน่าสนใจ ลุงบอกว่าถึงหาเงินมาได้เยอะจนตั้งโรงงานได้ ผลิตกีตาร์ล็อตแรกส่งให้ลูกค้า (ร้านกีตาร์) ตามคำสั่งซื้อได้ ก็ยังไม่โล่งใจนะ โมเมนต์ที่โล่งใจแล้วจริงๆ คือตอนที่มีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามาหลังจากนั้นต่างหาก ผมฟังแล้วก็เออ จริงว่ะ เพราะถึงเจ้าของร้านกีตาร์เห็นแววและลองสั่งไปขาย แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้วคนซื้อไปเล่นไม่ชอบ ไม่บอกต่อ ไม่ปัง ร้านเขาก็ไม่กล้าสั่งไปขายอีก ที่ลุงลงทุนไปก็จะเจ๊งยับ ผมว่าช่วงที่ส่งกีตาร์ล็อตแรกออกไปลุงแกคงลุ้นพอสมควร
มันก็ดูคล้ายๆ Custom 24 ไม่ใช่เหรอ แล้วมันต่างกันยังไง?
Paul Reed Smith guitar หรือ Standard 24 ยุคแรกเริ่ม แม้ทรวดทรงองค์เอวจะเหมือนรุ่น Custom แบบทุกกระเบียดนิ้ว แต่ความแตกต่างหลักๆ ก็คือรุ่น Standard 24 บอดี้และคอทำจากไม้ mahogany อย่างละชิ้น พ่นสีทึบ ในขณะที่รุ่น Paul Reed Smith Custom / Custom 24 บอดี้ด้านหลังทำจากไม้ชนิดเดียวกัน แต่ส่วนท็อปทำจากไม้เมเปิลลายเฟลม ทำสีแบบย้อมไม้ (wood stain) โชว์ลายเฟลม ราคารุ่น Custom จึงสูงกว่า
แต่ต่อมาเส้นแบ่งคำว่า Standard เริ่มบางลงโดย PRS เริ่มมีการเอาชื่อนี้ไปใช้เรียกรุ่นอื่นๆ ที่ส่วนบอดี้ทำจากไม้มาฮอกกานีทั้งชิ้นโดยไม่สนว่าโครงสร้างส่วนอื่นๆ เป็อย่างไร ตัวอย่างเช่น CE 24 เวอร์ชัน 2016 รุ่นย่อยที่ใช้ไม้มาฮอกกานีทำบอดี้ก็เรียกรุ่นนี้ว่า CE 24 Standard Satin รวมถึง SE Standard ซึ่งส่วนคอทำจากไม้เมเปิลก็เรียกรุ่นว่า SE Standard 24 ด้วย อย่างนี้เป็นต้น แต่ถึงอย่างไร เอกลักษณ์ของรุ่น Standard ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปและเป็นข้อแตกต่างจากรุ่น Custom ก็คือส่วนบอดี้ของ Standard ทำจากไม้มาฮอกกานีทั้งหมด ไม่มีท็อปเมเปิล
สเปค PRS Standard (Core USA) จากเวอร์ชันแรก (1985) ถึงปัจจุบัน (2025)
ต่อไปนี้คือสรุปไทม์ไลน์สเปค PRS Standard (หรือ Standard 24) เอาเฉพาะเกรด Core นับตั้งแต่โมเดลแรกจนถึงโมเดลล่าสุด เอาเฉพาะเวอร์ชัน mass production ปกติเท่านั้น ไม่รวม special edition ต่างๆ (เช่น 20th Anniversary Standard Satin) แต่ไม่รวม S2 เพราะผมมองว่ามันผิดเพี้ยนจากต้นฉบับมากเกินไปจนไม่ควรเอามารวมในตารางเดียวกันให้เกิดความสับสนครับ
- Model name history:
- 1985-1986 – Paul Reed Smith Guitar
- 1987-1996 – Standard
- 1997-2009 – Standard 24
- 2025 – Standard 24 Satin
- Body : Mahogany, 1 piece
- Top : none
- Neck : Mahogany, 1 piece
- Neck profile :
- 1985-1991 – Standard
- 1991-2009 – Regular or Wide Thin
- 2025 – Pattern Thin
- Scale length : 25″
- Number of frets : 24 medium-jumbo
- Fingerboard : Indian rosewood
- Fingerboard inlay :
- 1985-2009 – Moons or Birds (optional)
- 2025 – J Birds
- Headstock veneer :
- 1985-2009 – None
- 2025 – rosewood
- Headstock logo :
- 1985 – 1991 – Paul’s signature, silk screened
- 1991-2009 – Paul’s signature, metal decal
- 2025 – Ivoroid, inlaid
- Truss rod cover text :
- 1985-2009 – none
- 2025 – Standard
- Tuners :
- 1985 – 2000 – PRS Winged locking
- 2001-2009 – PRS Phase II locking
- 2025 – PRS Phase III locking with black wing buttons
- Bridge :
- 1985-2000 – Mil-Com-PRS Tremolo, one piece cast red bronze
- 2001-2009 – PRS Tremolo (generation 2), 2 piece brass block and brass base plate
- 2025 – PRS Gen. 3 Tremolo, smoke black finish
- Pickups :
- 1985-1991 – Standard
- 1991 – 2009 – Hot Fat Screams (HFS) treble, Vintage Bass bass
- 2025 – DMO
- Electronics
- 1985-1991 – 5 way Rotary with Sweet Switch and 1 volume
- 1991 – 2009 – 5 way Rotary, volume, tone
- 2025 – 5 way blade, volume, tone
- Hardware :
- 1985 – 2009 – Nickel
- 2025 – smoke black
- Finish :
- 1985-2009 – polyurethane
- 2025 – satin nitro, open pore
- Accessory :
- 1985-2009 – PRS black tolex hard shell case
- 2025 – PRS D1 molded plastic hard shell case
PRS Standard – a brief history of model specs
ผมขอไล่ไทม์ไลน์ specs change แบบสรุปสั้นๆ แบ่ง milestones ออกเป็น 4 ช่วงเวลาสำคัญๆ พอให้เพื่อนๆ เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงแบบง่ายๆ ดังนี้ครับ
1. 1985 – the origin
ในปี 1985 Paul Reed Smith Guitar (ชื่อรุ่นในตอนนั้นก่อนเปลี่ยนเป็น Standard ในภายหลัง) เมื่อดูมิติกว้างยาวลึกแล้ว มันก็คือ Custom ที่ไม่มีไม้ท็อปเมเปิลดีๆ นี่เอง ไม้บอดี้ทำจากมาฮอกกานีชิ้นเดียวแกะขึ้นรูปเป็นตัวกีตาร์ มีไม้มาฮอกกานีอีกหนึ่งแท่งทำเป็นส่วนคอต่อกันด้วยกาว เชพคอมีเชพเดียวคือ Standard ฟิงเกอร์บอร์ดเป็นไม้ Brazilian rosewood อินเลย์ฟิงเกอร์บอร์ดมีให้เลือกสองแบบ ระหว่าง Moons inlays หรืออินเลย์พระจันทร์เสี้ยว (คลิกอ่านเรื่องราวของ PRS Moons inlay ได้ที่นี่) กับอินเลย์นกซึ่งอันหลังนี้ต้องจ่ายเพิ่ม เรเดียสฟิงเกอร์บอร์ด 10 นิ้ว มีเฟรท 24 ช่องแต่ในตอนนั้น PRS ไม่ได้เรียกชื่อกีตาร์รุ่นนี้ว่า Standard 24
ปิคอัพเป็นรุ่น Standard set ตำแหน่งใกล้บริดจ์ตอกตัว T (treble pickup) ไว้ใต้ base plate และตัว B (bass pickup) ที่ตำแหน่ง neck ภาคไฟฟ้าเป็นแบบดั้งเดิมของ PRS คือ Rotary selector หมุนได้ 5 แก๊ก volume 1 อัน ไม่มี tone pot แต่ใช้สิ่งที่เรียกว่า Sweet Switch แทน ลูกบิดล็อกสาย PRS Phase 1 ชุดคันโยกเป็นแบบชิ้นเดียวหล่อขึ้นรูปจากทองเหลือง



2. 1991 – Indian rosewood fretboard with new electronics
PRS ใช้ไม้ Indian rosewood ทำฟิงเกอร์บอร์ดแทน Brazilian rosewood รวมถึงเปิดตัวปิคอัพรุ่นใหม่เป็นเซ็ท HFS (Hot, Fat, Screams) และ Vintage Bass ซึ่งแรงกว่าปิคอัพเซ็ทเดิมมาก ผมคิดว่าคงเพื่อให้สอดรับกับกระแสดนตรีแนวเมทัลในยุคนั้นยาวไปถึง nu metal ในทศวรรษต่อมา ปิคอัพชุดใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ tone pot ซึ่งมาแทนที่ Sweet Switch แต่ยังต่อวงจรกับ rotary pickup selector เหมือนเดิม

(Photo credit: Rock n Roll Vintage Guitars)

(Photo credit: Rock n Roll Vintage Guitars)

(Photo credit: Rock n Roll Vintage Guitars)

(Photo credit: Rock n Roll Vintage Guitars)
3. 2000s – New tuners and model discontinuing
PRS Standard ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Standard 24 เมื่อ 3 ปีก่อนหน้าเพื่อแยกแยะจากรุ่น Standard 22 ที่เกิดตามมาช่วงกลางยุค 90s นอกจากนี้ในปี 2000 ก็เปลี่ยนลูกบิดล็อกสายเป็นรุ่น Phase II ซึ่งล็อกด้วย thumb screws ซึ่งดีไซน์กลไกที่ซับซ้อนน้อยกว่ารุ่นแรก และใช้แนวคิดนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนชุดคันโยกทองเหลืองชิ้นเดียวของ Mil-Com ก็ได้เลิกใช้ในช่วงปีนี้ด้วย
ต่อมาในปี 2009 PRS Standard 24 ก็ถูกเลิกสายการผลิตไป พร้อมๆ กับกีตาร์รุ่นตำนวนอีกมากมายหลายรุ่น

(Photo credit: guitarchimp.com)

(Photo credit: guitarchimp.com)

(Photo credit: guitarchimp.com)

(Photo credit: guitarchimp.com)

(Photo credit: guitarchimp.com)

ถ้าเป็นเวอร์ชันล่าสุด (2025) เปลี่ยนเป็นเคสไฟเบอร์แล้ว
(Photo credit: guitarchimp.com)
4. 2025 – Standard 24 Satin is back!
ต้นปี 2025 PRS ชุบชีวิต Standard 24 Core Series ขึ้นมาใหม่ในสไตล์เคลือบด้านแบบเปิดเสี้ยนไม้ในชื่อ Standard 24 Satin ที่บอดี้และคอยังทำจากไม้มาฮอกกานีอย่างละชิ้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมด้วย appointments ยุคใหม่ เช่น อินเลย์นก J Birds (นกอบาโลนมีเส้นขอบ) ลูกบิด Phase 3 ใบใหม่ทรงปีกนก และปิคอัพใหม่ล่าสุดรุ่น ‘DMO’ (Dynamic, Musical and Open) อะไหล่ทั้งตัวเป็นสีรมควันสุดคูล มาในเคสพลาสติกรุ่นใหม่ล่าสุดของ PRS
ค่าตัว $3,500 ซึ่ง ณ วันที่เขียนบทความนี้ผมยังไม่ทราบราคาตัวแทนไทย

(Photo credit: prsguitars.com)

(Photo credit: prsguitars.com)

(Photo credit: prsguitars.com)

(Photo credit: prsguitars.com)





PRS รุ่นอื่นๆ ในตระกูล Standard ยังมีอีกหลายรุ่นย่อย กระจายอยู่ในทุกซีรีส์ ตั้งแต่ SE ยัน Private Stock ซึ่งผมจะมาแนะนำในบทความตอนต่อไปครับ
ส่งท้าย
ในส่วนของประวัติรุ่น Standard / Standard 24 ก็จะมีประมาณนี้นะครับ บทความตอนต่อไปผมจะไล่เรียงว่าภายใต้ชื่อ Standard ของค่าย PRS ทุกซีรีส์ มีรุ่นอะไรบ้าง และจะรีวิว Standard ปี 1987 ในลำดับถัดไปครับ
และถ้าเพื่อนๆ สนใจอยากซื้อ อยากขาย อยากอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ Paul Reed Smith Guitars สามารถเข้าไป join ได้ที่กลุ่มเฟซบุค PRS Thailand ได้ครับ
ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ
