
รีวิวกีตาร์ PRS SE Tremonti
สวัสดีครับ ผม แอดมินหมู แห่งกลุ่ม PRS Thailand วันนี้มีกีตาร์ Paul Reed Smith (PRS) SE Tremonti โมเดลล่าสุดมารีวิว
Key takeaways:
- SE Series ทรง Singlecut ตัวแรง
- เสียงแตกดุดัน แตกแรงกว่า SE Custom 24 คลีนดี และแม้ถึงตัดคอยล์ไม่ได้ แต่โทน humbucker ก็เล่นได้กว้าง
- คันโยกดึง pitch ขึ้นได้มากกว่า PRS รุ่นอื่น
- ราคาถูกกว่ารุ่น SE Custom 24
มันคืออะไร?
กีตาร์รุ่นนี้ก็คือรุ่นลายเซ็นของ Mark Tremonti มือกีตาร์วง Creed ขวัญใจวัยรุ่นยุค 2000s และวง Alter Bridge มือกีตาร์สายร็อค, post-grunge ที่มากับไลน์กีตาร์ที่มีเอกลักษณ์ ลูกริฟฟ์แน่นๆ และการเล่นฟิงเกอร์สไตล์ที่หลายคนจดจำ
สำหรับ PRS โมเดล SE Tremonti นั้นก็เป็นรุ่นราคาราคาหลักหมื่นจากซีรีส์ SE ที่ลุงพอลร่วมกับเฮียมาร์คร่วมกันนำเสนอ เราจึงมีตัวเลือกราคาประหยัด ไม่ต้องจ่ายถึงแสนปลายๆ ก็ได้ซาวด์และฟีลแบบกีตาร์ที่เฮียมาร์คนั่นเอง

(Photo by prsguitars.com)
สเปค
- Model: PRS SE Tremonti
- Body: Mahogany, thick
- Top: Maple with flamed maple veneer
- Neck: Maple
- Neck profile: Wide Thin
- Fingerboard: Rosewood, radius 10″
- Fingerboard inlay: Birds, plastic
- No. of Frets: 22
- Headstock decal: Paul Reed Smith signature with SE logo
- Truss rod cover text: Tremonti
- Tuners: PRS SE, non-locking
- Pickups: Tremonti ‘S’
- Controls: 2 volume knobs, 2 tone knobs, 1 three-way toggle pickup selector
- Bridge: PRS molded tremolo with trem-up cavity routing
- Hardware finish: Chrome
- Finish available: Charcoal Burst
- Accessories included: PRS SE gigbag, adjustment tools
- ราคา: 29,400 บาท (ณ วันที่ 26/07/2567)
สัมผัสและรายละเอียด
Body
สิ่งที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์ที่สุดของกีตาร์รุ่นนี้นอกจากทรง Singlecut แล้ว ก็คงเป็นความสวยงามแบบเรียบขรึมของสีดำ Charcoal Burst เคลือบมันเงากับวีเนียร์ลายเฟลมสวยๆ ผมหยิบขึ้นมาพิจารณา ความรู้สึกแรกก็คือน้ำหนักที่ตึงๆ มือนิดนึง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของกีตาร์ทรงนี้อยู่แล้ว เพราะนอกจากบอดี้จะกลมกลึงไม่ค่อยมีส่วนเว้าแล้ว ความหนาของส่วนบอดี้ก็ถือได้ว่าหนาที่สุดรุ่นหนึ่งของกีตาร์ทั้งหมดในซีรีนี้ (สังเกตจากรูปที่ผมวางนอนเทียบกับทรง Custom) บอดี้ที่หนาแน่นแบบนี้ช่วยให้เราได้ยานต่ำที่ลึก มี resonance จากตัวกีตาร์โดยธรรมชาติ ได้เสียงที่หนากว่าทรง double cutaway เป็นทุนเดิมจากตัวโครงสร้างเลย




Neck
มองดูคอกีตาร์ซึ่งทำจากไม้เมเปิ้ล ตามสเปคหน้าเว็บบอกว่าเป็นเชพบาง แต่แปลกที่ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคอมันกลมกว่าปกติของรุ่นนี้ที่เคยจับมา ลองหยิบไปวางเทียบกับ PRS ตัวอื่นที่เป็นเชฟคอกลม (Wide Fat) มองด้วยสายตาก็แทบจะเท่ากันเลย ผมจับ SE Tremonti มาหลายตัว และก็เล่น PRS SE คอเชพ Wide Thin มานับไม่ถ้วน รู้ดีว่าฟีลเชพ Thin นั้นต่างจากเชพ Fat อย่างไร แต่ครั้งนี้มันแปลกไปจริงๆ แปลกจนผมต้องส่งเมลไปถามทาง PRS แต่ทางโรงงานก็ไม่ได้ตอบเมลกลับมา ดังนั้นจึงเอาเป็นว่า ถ้าว่ากันตามสเปค PRS รุ่นนี้คอต้องเป็นเชพบาง แต่กีตาร์ตัวที่ผมได้มาทดสอบมันอะไรยังไงผมก็ไม่สามารถสรุปได้นะครับ





ฟิงเกอร์บอร์ดทำจากไม้ Rosewood ฝังอินเลย์นกทำด้วยวัสดุพลาสติกตามสเปคมาตรฐานของกีตาร์ตระกูล SE รัศมีความโค้งคือ 10 นิ้ว ที่ทุกคนคงคุ้นเคยจากกีตาร์ยี่ห้อนี้ หัวกีตาร์สกรีนลายเซ็นลุงพอลขนาดใหญ่ ลดไซส์โลโก้ SE เหลือตัวนิดเดียว เป็นเสน่ห์ของ PRS SE ปี 2017 เป็นต้นมา ฝา truss rod cover สกรีนชื่อรุ่นไว้ นัทดีไซน์ใหม่ดีไซน์คล้ายๆพวก Graphtech แต่จากการใช้งานก็ต้องบอกว่าไม่ลื่นขนาดนั้น ต้องใช้เวลาเบิร์นพักใหญ่กว่า tuning stability จะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
พูดถึงฟิงเกอร์บอร์ด SE ตัวนี้ ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ผมสังเกตดีๆ แล้วรู้สึกสะดุดตาอยู่อย่างนึง คือ ไม้ส่วนนี้ไม่ใช่ไม้แผ่นเดียวอย่างที่เคยเห็นมาตลอด แต่ดูเหมือนเป็นไม้ที่เล็กกว่าปกติเล็กน้อยแล้วมีการนำไม้ชิ้นยาวชิ้นเล็กๆมาแปะเป็นกรอบล้อมอีกที มองดูคล้าย fingerboard binding ดูเป็น detail ที่เพิ่มความยุ่งยากให้การสร้างกว่าที่ SE รุ่นไหนๆ เคยเป็นมา เมื่อรวมกับประเด็นเรื่องเชพคอรู้สึกผิดสเปคผมก็ยิ่งแปลกใจมาก นอกจากนี้ ผมได้มีโอกาสแวะไปที่ร้านตัวแทนจำหน่าย ก็สังเกตว่า SE หลายตัวที่ผลิตปีนี้มีฟิงเกอร์บอร์ดโรสวูดลักษณะเดียวกัน ชัดเจนว่านี่ถูกทำขึ้นอย่างมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ที่ทางโรงงานยังไม่เคยแจ้งไว้อย่างเป็นทางการ
ผมสงสัยมากจนต้องส่งเมลสอบถามทางบริษัท (ถามไปพร้อมกับเรื่องเชพคอหนาผิดปกตินั่นแหละ) แต่ทางโรงงานก็ไม่ได้ตอบมา แม้จะเมล reminder ไปทวงถามแล้วก็ตาม ดังนั้นก็สรุปว่าผมไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่มาที่ไปของทั้ง 2 ประเด็นนี้ได้นะครับ
จากตรงนี้เราจะเห็นชัดว่าขอบฟิงเกอร์บอร์ดมีการตีกรอบด้วยไม้บางๆ เอาไว้ ซึ่งก็จะทำให้ดูเหมือนมีขอบบายดิ้ง ทั้งๆ ที่สเปคไม่ได้ระบุเอาไว้ มองห่างๆ ก็เห็นว่าบอร์ดมีสองสี


Controls
สำหรับ control ของกีตาร์รุ่นนี้ก็อย่างที่เห็นว่ามันไม่ได้เหมือนกับรุ่น Custom 24 แต่จะคล้ายๆ ยี่ห้อ Gibson ซะมากกว่า คือมีวอลุ่มสองอันและมีโทนอีกสองอันแยกกันคุมปิคอัพทั้งสองตัวแบบอิสระโดยมีสวิตช์สามทางอยู่ด้านบนไว้สับเลือกแบบเร็วๆ ใช้ง่าย ดูง่ายไม่ต้องเล็ง แค่ชำเลืองตามองก็รู้ว่าตอนนี้อยู่ตำแหน่งไหน

แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับกีตาร์รุ่นนี้ คือ ถึงแม้คอนโทรลของมันจะวางเรียงคล้ายกับรุ่น Singlecut/SC แต่ตำแหน่งการวาง control pots นั้นไม่เหมือนกัน กล่าวคือ PRS Tremonti signature แบ่งวอลุ่มและโทนตามแนวตั้ง ในขณะที่รุ่น SC จะแยกคอนโทรลตามแนวนอน

ในส่วนของปิคอัพรุ่น Tremonti ‘S’ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของกีตาร์รุ่นนี้ ก็เป็นปิคอัพที่ถอดแบบมาจากเวอร์ชั่น Core โดยตรง และปิคอัพตัวนี้แตกต่างจากที่ติดมากับกีตาร์ SE Tremonti เวอร์ชั่นเก่า (2012 – 2016) เพราะสมัยนั้นแชร์ปิ๊กอัพมาจากรุ่น SE 245 ซึ่งเป็นปิกอัพโทนวินเทจแรงต่ำ ไม่เข้ากับสไตล์ของเฮียเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับปิคอัพ Tremonti ‘S’ นั้นผมวัดค่า DCR ได้ 7.97k ที่ตำแหน่ง neck และ 16.64k ซึ่งถือว่าแรงเป็นอันดับต้นๆ ของปิคอัพกีตาร์ตระกูล SE ที่ PRS ผลิตเอง

มองดูด้านหลัง headstock ก็เจอข้อความที่คุ้นเคย ข้อความที่บอกผมว่าโรงงาน WMI ที่เกาหลีที่เคยผลิตกีตาร์ SE ให้ PRS กลายเป็นอดีตไปแล้ว 7 ปี สีด้านหลังและด้านข้างเป็นสีดำทึบเคลือบเงาตามปกติของสี Charcoal Burst
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับปิคอัพรุ่นนี้ที่หลายคนไม่รู้ คือแม้สเปคในหน้าเว็บจะบอกว่ากีตาร์รุ่นนี้ไม่สามารถตัดคอยล์ได้ แต่ความจริงแล้วปิคอัพ Tremonti ‘S’ ทั้งสองตำแหน่งสามารถตัดคอยล์ได้ หลักฐานคือสายตัดคอยล์ 2 คู่ที่ผมวงกลมไว้ในรูป แต่เพราะตัวกีตาร์ไม่ได้ถูกติดตั้ง push/pull tone pots มาจากโรงงาน จึงไม่ได้ถูกต่อวงจรเอาไว้ ดังนั้น ในทางเทคนิค กีตาร์ PRS SE รุ่นนี้สามารถมีได้มากกว่า 3 เสียง ปิคอัพทำมารองรับ เพียงแต่เราต้องเปลี่ยน tone pots และต่อสายไฟอีกนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง

นอกจากนี้ความพิเศษของกีตาร์รุ่นนี้ที่รุ่นอื่นเพื่อนร่วมค่ายไม่มีก็คือตรงคันโยก หากสังเกตดีดีเราจะเห็นว่าหลุมใต้บริดจ์ถูกเจาะเอาไว้ลึกกว่ารุ่นอื่นและมีการเซ็ตตำแหน่งคันโยกไว้สูงกว่าปกติเล็กน้อย จึงทำให้เราสามารถดึงบริดจ์ขึ้นเพื่อเพิ่ม pitch (ระดับโน้ต) ได้สูงกว่ากีตาร์รุ่นอื่นในค่ายเดียวกัน ซึ่งตรงนี้ก็มีเอาไว้เพื่อตอบโจทย์การเล่นของเฮียที่ชอบใช้มือปัดคันโยก (tremolo fluttering technique) นั่นเอง

และเมื่อคันโยกถูกออกแบบมาเป็นอย่างนั้นปิกอัพตัวหลังจึงต้องถูกยกให้สูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ลองสังเกตความแตกต่างของความสูงกรอบปิคอัพทั้งสองตำแหน่งนะครับ

และอย่างที่ผมบอกไปในตอนแรก คือน้ำหนักของมันก็ตึงมือนิดๆ ที่ 4 กิโลกรัมถ้วน ซึ่งก็เป็นตัวเลขปกติสำหรับ PRS ทรง Singlecut ตันๆ หนาๆ แบบรุ่นนี้ แถมยังมีคันโยกด้วย จะให้เบากว่านี้คงยากครับ

เสียง
ต่อไปก็ไปเทสต์เสียงกันเลย ผมทดสอบด้วยแอมป์ Bogner Uberschall ออกตู้ ENGL 2×12 ที่ผมเปลี่ยนดอกข้างหนึ่งเป็น Celestion G12-T75 ส่วนอีกข้างเป็น Celestion Vintage 30 เอฟเฟคท์ผมก็ไม่ได้ใช้อะไรพิสดารมาก แค่เปิด digital delay ทิ้งไว้พอให้ไม่แห้ง และใช้ก้อน overdrive สไตล์ Klon บูสต์ตอนเล่นโซโล่ด้วย neck pickup เสียงที่ได้ยินก็อัดแบบ room sound ง่ายๆ ด้วยไมค์กล้อง เพื่อถ่ายทอดเสียงจริง บรรยากาศจริงหน้าตู้ ให้ตรงกับที่หูผมได้ยินมากจริงๆ ที่สุด
Clean
สำหรับเสียงคลีน ผมทดสอบตำแหน่ง neck และ neck + bridge humbuckers เนื่องจากกีตาร์รุ่นนี้ไม่มีระบบตัดคอยล์ สุ้มเสียงตำแหน่ง neck นั้นมีย่านโลว์ที่มีส่วนผสมระหว่างความอุ่นและกระชับกำลังดี ย่านกลางกำลังดีไม่รู้สึกว่าออกวินเทจบวมๆ แต่อย่างใด เป็นเสียงคลีนที่กลมกำลังดี สำหรับผมถือว่าเล่นเพลิน และใช้งานได้กว้าง
อย่างไรก็ดี ผมกลับรู้สึกว่าเสียงแก๊กผสมฟังดูดีกว่า คือเมื่อผสมกันแล้วได้ความอุ่นและความ crisp ที่ลงตัวสวยงาม ราวกับ PRS ออกแบบโทนมาเผื่อเล่นเกาด้วยนิ้ว เพราะถ้าปิคอัพไม่ได้คิดมาเพื่อการนี้ โทนที่ออกมาอาจทึบไปเมื่อใช้นิ้วเล่น ส่วนตัวผมว่านี่เป็นกีตาร์ไฟฟ้าที่ใช้เล่นเกาเพราะใช้ได้ตัวนึงเลย ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเห็นเฮียมาร์คแกเล่น finger picking เยอะเลยเชื่อมโยงมั่วซั่วว่ากีตาร์เล่นเกาได้เหมาะนะครับ แต่จากการทดลองจริงผมก็ว่ามันออกแบบโทนไว้เหมาะจริงๆ ไม่เชื่อดูจากคลิปที่ผมแปะไว้ก็ได้
นอกจากนี้ผมก็ลองอัดแบบใช้ปิ๊คเล่นด้วย ก็ไม่รู้ผมคิดไปเองมั้ยว่าซาวด์ที่ออกมามันก็ใกล้เคียงกับซาวด์ต้นฉบับอยู่นะ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้แต่งซาวด์อะไรมากเลย (อาจเพราะผมใช้แอมป์ Bogner Uberschall รุ่นเดียวกับที่เฮียแกใช้ประจำด้วยรึเปล่า) ปกติผมเป็นคนไม่ชอบใช้งานปิคอัพ humbucker 2 ตัวพร้อมกันเพราะส่วนใหญ่ที่ลองมารู้สึกว่าผสมแล้วเลอะ รก แต่กับ SE Tremonti นั้นต่างออกไป คลีนของมันที่แก๊กกลางฟังดูดีมากแม้จะใช้แค่ delay ง่ายๆ ผมว่าเสียงคลีนกลมๆ ใสๆ แบบนี้ไม่ได้เหมาะแค่เล่นร็อค แต่จะเอาไปเล่นแนวบลูส์ก็สบาย คือแม้ PRS จะเน้นทำตลาดกีตาร์รุ่นนี้ว่าเป็นกีตาร์สำหรับขาแรง แต่โทนจริงๆ ของมันใช้งานได้กว้างกว่าที่คิด
Lead
ไปกันต่อที่เสียงแตก ปิคอัพ Tremonti ‘S’ ตำแหน่ง bridge ไม่ทำให้ผิดหวังเลย มันแรง ดุ หนา ย่านมีความลงตัว กลางๆ ค่อนข้างสว่าง ใช้งานได้กว้าง ย่านโลว์มาเต็มดีแต่ไม่ล้นจนกลบย่านอื่น การตอบสนองไม่ถือว่าไปทางโมเดิร์นหรือกระชับมากจนอึดอัด และก็ไม่ออกวินเทจย่านกลางป่องๆ ให้หงุดหงิดเวลาอัดริฟฟ์
ปิคอัพมีไดนามิคที่ดี เมื่อผมลดวอลุ่มความแตกก็ลดลงตามกลายเป็นเสียง crunch เท่ๆ ซึ่งลักษณะแบบนี้มีประโยชน์มาก หากเราใช้มันจนคล่องเราอาจแทบไม่ต้องการระบบตัดคอยล์เลยก็ได้ นอกจากนี้ผมสังเกตว่าเมื่อปั่นเร็วๆ ก็ได้ยินเสียง pick attack ออกแอมป์แบบชัดเจนอีกด้วย รู้สึกว่านี่ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของ PRS SE รุ่นนี้ เอาจริงๆ ถ้าชอบเล่นเสียงแตก ใช้ PRS SE Tremonti เดิมๆ ก็ดีอยู่แล้ว อาจไม่ต้องโมดิฟายเปลี่ยนปิคอัพให้เปลืองเลย เพราะเขาออกแบบมาเพื่อการนี้
แต่จะว่าไปผมก็แอบคิดนะว่ากีตาร์ที่ติดปิคอัพคาแรคเตอร์แบบนี้น่าจะใส่สายเบอร์ 10 มาให้จากโรงงาน เพราะสายชุด 9 ผมยังรู้สึกว่าเล่นริฟฟ์สายต่ำๆ ไม่สะใจเท่าไหร่ แต่ก็ได้ความเคลียร์ ใส แถมเล่นง่ายแสนง่ายมาแทนแหละ
สรุปแล้ว PRS SE รุ่นนี้น่าโดนมั้ย?
จากการทดสอบ PRS SE Tremonti เป็นเวลาเกือบเดือน ผมสรุปคำแนะนำได้ดังนี้ครับ
กีตาร์รุ่นนี้เหมาะกับ…
- คนที่ใช้เสียงแตกบ่อย เล่นร็อค, nu metal, เมทัลยุค 2000s หรือใช้เสียงแตกสไตล์ Mesa Dual Rectifier เล่นคัฟคือพูดง่ายๆว่า อะไรที่แรงแบบร่วมสมัย วัย 30+ อะเหมาะสุด เพราะถึงแม้จะแตกดุ แต่เรื่องการตอบสนองนั้นผมไม่จัดว่าโมเดิร์นปุบปับกระชับอะไรมาก
- ใช้เสียงคลีนแบบหวานๆ แต่ยังต้องการความเป็นตัวพอประมาณ ไม่ทู่ไม่บวม
- ไม่เน้นใช้งานเสียงตัดคอยล์ (แต่หากต้องการใช้งานจริงๆ กีตาร์ก็พร้อมรับการโมดิฟายอยู่แล้ว)
- ชอบกีตาร์ทรงประมาณนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
- และที่ขาดไม่ได้ เป็น FC เฮียมาร์ค แต่ไม่สะดวกจ่ายหลักแสนเพื่อเล่น Core Tremonti แบบเฮียเขา
แต่อาจไม่เหมาะกับ…
- คนที่ต้องการเสียงที่เก่ากว่านี้ บลูส์เพียวๆ คลีนจัดๆ ถ้ามองหา PRS SE แนวนั้น ผมแนะนำดูรุ่น SE DGT ครับ
- หรือไม่ก็ต้องการความแรงแบบโมเดิร์น ตอบสนองกระชับว่องไว ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังนี้แนะนำไปรุ่น SE Holcomb ดีกว่า
- คนที่ต้องการกีตาร์น้ำหนักเบา
ส่งท้าย
สำหรับรีวิวกีตาร์ Paul Reed Smith SE Tremonti ก็มีเท่านี้นะครับ ใครสงสัยตรงไหนหรืออยากได้คำแนะนำเพิ่มก็ตามผมไปได้ที่กลุ่มเฟสบุค PRS Thailand ที่ผมเป็นแอดมินอยู่ นอกจากได้ข้อมูลแล้วเพื่อนๆ อาจจะได้เสียเงินซื้อ PRS ก็ไม่แน่นะเออ ว่ากันว่ากลุ่มผมเข้าแล้วเสียตังค์ไม่รู้ตัวทุกคน เหอๆ
ขอขอบคุณร้าน Music Collection ที่เอื้อเฟื้อกีตาร์สำหรับกีตาร์ใช้ทดสอบในบทความนี้ และขอบคุณทางร้านที่กรุณาสนับสนุนค่ารีวิวให้ทางเว็บ moopanuwat.com ด้วยครับ ทั้งนี้ผมขอยืนยันว่าจะรักษามาตรฐานการรีวิวที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาเพื่อส่งต่อข้อมูลที่มีคุณภาพให้ผู้อ่านทุกท่านตลอดไปครับ
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจคันไม้คันมืออยากทดสอบว่า PRS SE Tremonti มันเป็นอย่างที่ผมบอกในรีวิวไหม หรืออยากเทสต์รุ่นอื่นๆ ด้วย ก็เชิญแวะไปที่ร้าน Music Collection ผู้แทนจำหน่ายแบรนด์ Paul Reed Smith ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หรือบ้านไกล อยากกดสั่งซื้อเลยก็จัดไปครับ
