
รีวิวกีตาร์ PRS SE CE 24 Standard Satin
Key takeaways:
- กีตาร์ราคาประหยัดที่สุดจากค่าย PRS ชั่วโมงนี้
- บอดี้มาฮอกกานีล้วนเคลือบด้าน เสียงบอดี้กังวานชัดแจ๋ว
- โทนเสียงสดใส ดีดเด้งสู้มือ คมจัดชัดจริง
- น้ำหนักเบา
ต้องยอมรับว่ากีตาร์ตระกูล SE ซีรีส์ราคาประหยัดจากค่าย Paul Reed Smith (PRS) ในช่วงหลังๆ มานี้หลายรุ่นเริ่มทำได้น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ มีเอกลักษณ์และโทนเสียงที่เวิร์คจริง ไม่ใช่แค่ผลิตมาล้อตาม Core series ตัวเด็ดสาย SE ที่ผมลองแล้วอยากแนะนำจากใจเลยก็เช่น SE McCarty 594, SE DGT, SE Standard 24-08 และล่าสุดที่ผมเพิ่งรีวิวไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว SE CE 24
และในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 PRS ยังเดินหน้าเปิดตัว SE สไตล์ bolt-on maple neck รุ่นใหม่อีกรุ่น มันคือ SE CE 24 Standard Satin ที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ครับ
PRS Standard เหรอ มันคืออะไร
ก่อนอื่น ผมอยากเล่าถึงความเป็นมาของ PRS รุ่นที่ชื่อ Standard สักนิด ในช่วงปี 1985 ที่ลุงพอลเปิดตัวกีตาร์ในงาน NAMM ครั้งแรก ยังมีกีตาร์อีกรุ่นหนึ่งนอกจากรุ่น Custom 24 ที่เราคุ้นเคยกัน นั่นก็คือรุ่น PRS Guitar (ใช่ครับ มันคือชื่อรุ่น ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อ) ส่วนรุ่น Custom 24 ในช่วงนั้นก็ชื่อรุ่น PRS Custom Guitar ซึ่งรุ่น PRS Guitar ต่างจากอีกรุ่นก็ตรงที่ทั้งบอดี้และคอทำจากไม้มาฮอกกานีทั้งหมด ต่อมาในปี 1987 เมื่อ PRS เริ่มเติบโตขึ้น มีการเพิ่มรุ่นกีตาร์มากขึ้น จึงได้เปลี่ยนชื่อกีตาร์รุ่น PRS Guitar เป็นรุ่น Standard ซึ่งก็น่าจะเพื่อป้องกันการสับสนระหว่างชื่อรุ่นผลิตภัณฑ์กับชื่อบริษัทนั่นเอง จากนั้นในปี 1998 ก็เปลี่ยนอีกครั้งจาก Standard เฉยๆ เป็น Standard 24 เพื่อแยกแยะรุ่นนี้ออกจากรุ่นน้อง Standard 22 นั่นเอง PRS Standard (เกรด Core USA) อยู่ในสายการผลิตที่โรงงานในอเมริกาตั้งแต่ตั้งบริษัทมาจนถึงปี 2009 ก็ถูกยกเลิกการผลิต

(Image source: Kansas City Vintage Guitars)

นิยามของคำว่า Standard เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ปี 2014 เมื่อ PRS เปิดตัวรุ่น SE Standard 22 และ 24 ที่มากับบอดี้มาฮอกกานีล้วนแต่ส่วนคอทำจากไม้เมเปิล
ในปี 2015 Standard กลับมาใหม่ในโรงงานที่อเมริกา แต่มาในซีรีส์ S2 (S2 Standard 24 กับ S2 Standard 22) ก็จริงอยู่ว่ารุ่นนี้คอมาฮอกกานีด้วย แต่หน้าตาก็แปลกแยกห่างไกลเกิน Standard ตัว original ไปไกลมาก จึงทำให้รุ่นนี้ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
ต่อมาในปี 2016 เปิดตัว CE 24 Standard Satin Limited Edition ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ PRS ใช้คำว่า Standard ร่วมกับ CE เกิดเป็น PRS CE 24 ผลิตอเมริกา คอเมเปิลแต่บอดี้ทำจากไม้มาฮอกกานีล้วน ที่จริง wood combination แบบนี้ในรุ่น CE (USA) มีมานานตั้งแต่ยุค 90s แล้วเพียงแต่ PRS ไม่เคยเรียก CE บอดี้มาฮอกกานียุค 90s ว่าเป็น “อีกเวอร์ชันหนึ่งของรุ่น Standard” (คงเพราะในตอนนั้นยังมี core Standard ขายแยกต่างหากอยู่ ถ้ามี CE Standard เพิ่มอีกชื่อหนึ่ง จะสร้างความสับสน) ผมมองการเปิดตัวรุ่น CE 24 Standard LTD 2016 ในวันที่ PRS ยกเลิกการผลิตกีตาร์ core Standard ไปแล้ว รู้สึกเหมือน PRS กำลังบอกเป็นนัยๆ ว่าต่อจากนี้ไป รุ่น Standard (core USA) จะไม่เหมือน Standard ปีเก่าๆ อีกต่อไปแล้ว หรือพูดง่ายๆ ได้อีกอย่างว่าอะไรที่บอดี้ทำจากไม้มาฮอกกานีล้วน เดี๋ยวนี้ PRS ก็เรียกชื่อเหมารวมว่าเป็น Standard ทั้งนั้นนั่นแหละ ซึ่งนับถึงวันนี้กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าผมมองไว้ไม่ผิด

(Image source: www.prsguitarseurope.com)
8 ปีผ่านไปนับจาก CE 24 Standard Satin Limited Edition ก็มาถึงคิวของ SE Series กับรุ่น SE CE 24 Standard Satin ปี 2024 มันคือกีตาร์ SE ที่มีพื้นฐานโครงสร้างมาจากรุ่น CE 24 Standard Satin Limited Edition นั่นเอง บอดี้ใช้ไม้มาฮอกกานีทั้งตัว ไม่แปะท็อปด้วยไม้เมเปิล แถมไม่เคลือบยูรีเทนเก็บงานเหมือน SE รุ่นอื่นๆที่ผ่านมา ลุคมินิมอลๆ ดิบๆ แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ผลงานการผลิตจากโรงงาน Cor Tek อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตกีตาร์ PRS SE แต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ปี 2018

สเปค
- Model: SE CE 24 Standard Satin
- Construction : bolt-on
- Body : mahogany, 3 pieces, finished in thin nitro satin without grain filling
- Top wood : none
- Neck : 2 pieces maple, scarfed joint at the headstock, satin finish
- Neck profile : wide thin
- Scale length : 25″
- No. of frets : 24 medium-jumbo
- Fingerboard wood : rosewood
- Fingerboard inlay : birds
- Fingerboard binding : none
- Headstock veneer : black
- Headstock text : PRS SE signature
- Truss rod cover text: CE
- Tuners : SE non-locking
- Bridge : PRS-designed tremolo
- Pickups : PRS 85/15 “S”, black bobbins
- Electronics : 3 way toggle, 1 vol, 1 push/pull tone
- Control knobs : speed
- Hardware: nickel
- Accessories : SE grey gig bag
- Colors : มี 3 สี แดงด้าน (Vintage Cherry), ดำด้าน (Charcoal), ฟ้าเทอร์คอยส์ (Turquoise)
- ราคา 22,400 บาท (02/2024)

(Image source: prsguitars.com)

(Image source: prsguitars.com)

(Image source: prsguitars.com)
สัมผัส

ความรู้สึกแรกที่จับกีตาร์ตัวนี้คือ น้ำหนักเบา เบามาก เอากลับจากร้านมาชั่งที่ห้องได้ตัวเลขอยู่ที่ 3.16 กิโลกรัม ตัวเลขนี้คือเบากว่า SE Custom 24 ประมาณ 3-4 ขีด และเบากว่าพวก Semihollow หลายตัวที่ผมจับมาเลย

ชำเลืองมองที่ headstock เห็น headstock facing วัสดุ fiberboard สีดำด้านตัดกับโลโก้ลายเซ็นสีขาวมีโลโก้ SE ตัวเล็กๆ คือทำเหมือนกันกับรุ่น SE CE 24 เลยซึ่งมันสวยมาก เป็นงานดีเทลที่ผมบอกตรงๆ ว่าสวยยิ่งกว่าหัว CE 24 USA เวอร์ชั่นปัจจุบันด้วยซ้ำ นัทเชพใหม่สีดำ อินเลย์นกพลาสติก เฟรทนิเกิลขนาด medium jumbo ตามสูตร บอร์ด rosewood เรเดียส 10 นิ้ว


แต่แน่นอนว่าเอกลักษณ์แห่งสัมผัสของรุ่นนี้อยู่ที่บอดี้มาฮอกกานี้ล้วนๆ 3 ชิ้น ไม่มีไม้ท็อป งานเคลือบด้านแบบ satin nitro โดยไม่อุดเสี้ยน (grain filling) เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นร่องเสี้ยนดิบๆ อย่างไรก็ดี ผมต้องบอกไว้ก่อนว่าการทำสีแบบนี้จะ wear out ได้ง่าย มันจะเริ่มขึ้นเงาในจุดที่เราสัมผัสบ่อยๆก่อน เมื่อใช้งานต่อไปเป็นแรมปีชั้นแลคเกอร์และชั้นเนื้อสีก็จะหลุดจนเห็นเนื้อไม้ จากจุดนี้ถ้าใช้ต่อไปอีกมันก็จะกลายร่างเป็นกีตาร์ relic แบบธรรมชาติ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าเท่มาก เพราะผมเชื่อเสมอว่ากีตาร์ที่ดีคือกีตาร์ที่เจ้าของใช้บ่อย และกีตาร์ที่ใช้บ่อยต้องมีริ้วรอยเป็นปกติ
บอดี้ของ SE รุ่นนี้มีความหนาเทียบกับบอดี้ของรุ่นทรงเดียวกันที่มีทอปเมเปิลนะครับ มิติบอดี้ยังเท่ากันทุกประการ ส่วนบน (top bady) มีการปรับใช้เคิฟแบบใหม่ที่เรียกว่า shallow violin ดูสวย งามตา มองแล้วทำให้ผมนึกถึงรุ่น Standard 20th Anniversary ขึ้นมาเลย



ปิคอัพใช้รุ่น 85/15 ‘S’ เหมือนกับกีตาร์ SE Custom 24 และ SE CE 24 โดย PRS เลือกใช้ bobbins สีดำ ซึ่งส่วนตัวผมว่าดูโอเคกว่าสีม้าลายเยอะ control เป็นแบบ CE ยุคใหม่ คือ มี volume กับ tone control อย่างละอันและใช้สวิตช์แบบ toggle 3 ทาง ตัดคอยล์ได้ด้วยการดึง tone control ขึ้น อะไหล่ทั้งหมดสีดำเข้าชุดกัน ลูกบิดเป็นของ PRS SE ไม่ล็อกสาย และคันโยกก็เป็นเกรดของ SE บล็อคเหล็ก ตามปกติ กระเป๋าคู่ตัวเป็นรุ่นปักโลโก้ SE สีเทา





มือซ้ายที่กำคอกีตาร์อยู่รับรู้ได้ถึงความเป็น satin finish คือฟีลสากๆ ลื่นๆ เชพคอบาง (Wide Thin) เล่นง่ายไม่ล้า เหมาะกับสายปั่นและคนเริ่มเล่นกีตาร์ โครงสร้างก็ตามที่บอกไปคือ bolt-on maple neck สร้างจากไม้เมเปิลที่เลื่อยแบบ flat sawn มีการต่อกาวแนวเฉียงไว้บริเวณใต้เฟรทที่ 1 – 2 PRS เรียกการทำคอแบบนี้ว่า scarfed joint ซึ่งมีครั้งแรกในซีรส์ S2 รวมถึงรุ่นที่คอเป็น bolt-on maple ในปัจจุบันทุกรุ่น ไม่ว่าจะรุ่นที่ผลิตที่อเมริกาหรือแถบเอเชีย เหตุผลที่สร้างแบบนี้ก็เพื่อสร้าง cost efficiency และ production process streamlining หรือพูดง่ายๆ คือออกแบบบใหม่ให้ประหยัดต้นทุนในการผลิตมากขึ้น จะได้ทำราคาได้ถูกลงนั่นเอง



ตรง neck to body joint นั้นยกดีไซน์ของ SE Silver Sky มาใช้ ซึ่งถ้าใครเป็นแฟน PRS จริงๆ จะสามารถบอกได้ว่ามันต่างจาก joint ของ CE 24 ตัวอเมริกา กล่าวคือ
- ของ SE CE จะออกแบบให้มีส่วนของบอดี้ที่ยื่นออกไปรองฐานคอ ทำให้ไม่ต้องทำไม้คอบริเวณส่วนโคนให้เป็นฐานก้อนสี่เหลี่ยมหนาๆ และก็ไม่ต้องเปลืองต้นทุนวัสดุและเวลาไปกับเรื่องนี้เหมือนคอ CE 24 USA ด้วย
- และเนื่องจาก neck joint ถูกออกแบบมาต่างจากของ CE 24 USA ทำให้ PRS ต้องปรับแบบให้บอดี้ช่วงเขาบน (upper horn) ของ SE CE 24 มีส่วนโค้งที่โอบรับบริเวณฐานคอเพื่อเสริมความแข็งแรง เป็นสาเหตุว่าทำไมทรงบอดี้ของ PRS SE CE 24 ทั้งสองรุ่น ดูคล้ายว่ามันทู่ๆ สั้นๆ เส้นสายดูไม่เรียวเท่า SE Custom 24
ลองดูรูปเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจครับ



(Photo source: prsguitars.com)
ซึ่งถ้าจะถามว่าในแง่โครงสร้างอย่างไหนดีกว่ากันนั้น ส่วนตัวผมก็ตอบไม่ได้ เพราะใช้มาหมดทุกแบบก็ไม่เจอปัญหาในการใช้งานแต่อย่างใด ถ้าจะถามว่าทำให้เสียงต่างกันอย่างไรผมก็ตอบไม่ได้อีก เพราะปิคอัพและส่วนประกอบอื่นๆ แตกต่างกันหมด คือพูดง่ายๆว่าดีเทลส่วนอื่นๆ ยันราคาก็ต่างกัน จะให้เทียบตัวๆ คงไม่แฟร์
แต่ถ้าถามความแตกต่างในแง่การใช้งาน ผมบอกได้ว่าไม่ต่างกัน แม้ดูจากดีไซน์ของ CE 24 USA อาจดูเหมือน access ดีกว่า SE นิดหน่อย แต่จากที่เล่น SE CE ทั้งสองรุ่นมานานร่วมเดือน ผมไม่รู้สึกว่า neck joint แบบนี้จะเป็นปัญหาอะไรเลยเพราะอุ้งมือของผมจะไม่แนบชิดกับคอตอนเล่นเฟรทในๆ อยู่แล้ว ดังนั้น joint แบบ SE CE ก็ไม่ใช่ปัญหาในการใช้งานจริงแต่ประการใด ตรงกันข้าม ผมกลับชอบ joint แบบของ SE CE มากกว่า USA CE ตรงที่ของ SE มีการกำจัดเหลี่ยมมุมออกและปรับใหม่หมดให้มุมกลายเป็นส่วนโค้ง มีความสมูธมือ แถมดูสวยดูทันสมัยกว่าของ CE 24 USA ด้วยซ้ำไป ติอย่างเดียวว่ามันน่าจะมีการประทับข้อความอะไรบน neck plate สักหน่อย (ลองนึกถึงของ SE Silver Sky ก็ได้) พอมันโล้นๆ แล้วดูขาดเอกลักษณ์ของรุ่นไปยังไงไม่รู้

คลิกอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CE 24 USA models ได้ที่นี่ครับ

โทนเสียง
ก่อนจะลองเล่นออกแอมป์ตามปกติ ผมลองดีดเล่นเปล่าๆ เพื่อฟังเสียงอคูสติกของมัน พบว่าเสียงดีดเปล่าออกมาดัง ใส มีความโปร่งสบายหูไม่อุดอู้ดหมือน SE หลายๆรุ่นที่เคลือบยูรีเทนหนาๆ และจากที่ผมลองกีตาร์มาเยอะโดยเฉพาะ PRS ถ้าตัวกีตาร์มีคุณสมบัติทาง resonance ธรรมชาติในตัวเองดีอยู่แล้ว เวลาเล่นออกแอมป์เสียงจะยิ่งดีตาม ซึ่งผมบอกเลยว่าไม่ใช่กีตาร์ทุกตัวจะทำได้เหมือนกันหมดแม้แต่กับ PRS เอง เพราะตัวราคาหลักแสนบางตัวที่ผมลองมาก็ยังเจอที่เสียงอับ อู้ ดีดเปล่าดับ ออกแอมป์ก็แพ้ตัวอื่นในรุ่นเดียวกัน ก็มี
Clean channel
เริ่มการทดสอบด้วยแชแนลคลีน ของแอมป์ Mesa Triple Crown 50 ในการทดสอบโดยเปิดใช้งาน spring reverb ตลอดการทดสอบเสียงคลีน เริ่มจากแก๊ก neck humbucker ไปจนถึง bridge humbucker รู้สึกว่าโทนคลีนมีความสะอาดชัดใส โน้ตแยกจากกันดีมาก เป็นความใสที่ค่อนไปทางวินเทจแต่ย่านกลางก็ไม่เยอะไม่บวมไม่แก่และก็ไม่กระด้าง ผมรู้สึกแปลกใจกับเสียง neck + bridge humbucker นะ ฟังเผินๆ นึกว่าตัดคอยล์ คือมันกระชับจัดๆ ความเคลียร์ระดับนี้ผมว่าใช้เล่นสไตล์ hybrid picking อย่างแนวฟิวชันก็เหมาะนะ
ผมลองเปิด overdrive บูสต์ neck humbucker แล้วก็ต้องบอกว่า แซบมาก เป็นกีตาร์ที่ไว้เล่นกับก้อนแตกได้ดีมาก ฟังดูสะอาดไม่รก ต่อให้ใช้ก้อนแตกที่ gain แรงกว่าที่ผมใช้ ก็เชื่อว่าจะยังฟังดูดี
Low gain channel
แต่ผมชอบเสียงแตก medium gain ของ SE รุ่นนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะแก๊ก neck humbucker กับ neck coil split เราจะรู้ได้ชัดเจนจาก setup แบบนี้ทันทีว่ากีตาร์มันให้ความคมชัดมากๆ มีความ punchy ย่านกลางสูงพุ่งจัดชัดแจ๋ว ต่อให้ใช้นิ้วดีดก็ยังคม หากใช้เกนที่พอเหมาะ มันชัด ใส เด้ง ซะจนเสียง neck humbucker เริ่มจะฟังคล้ายๆ single coil นอกจากความใสแล้วยังมีความโปร่ง เปิด ในเนื้อเสียง ซึ่งคงได้จากทั้งโครงสร้างที่เป็นคอเมเปิลต่อน็อต บอดี้ต่อไม้น้อยชิ้น ผสมเข้ากับงาน finish บางเฉียบแบบ nitro satin
ส่วนตัวผมมองว่า นี่คือ SE ที่เล่นเสียงแตกกลางได้ดีที่สุดรุ่นนึงที่เคยลองมา มันอาจจะเป็นความชอบส่วนตัวของผมที่นิยมกีตาร์เสียงเคลียร์ชัดมากกว่าวินเทจบวมๆอ้วนๆ แต่ถึงยังไงผมก็ยืนยันว่า ชัดไว้ก่อน มันยังเอาไปแต่งเสียงต่อได้ง่ายกว่าบวมแก่ตั้งแต่ต้นทาง ส่วนตัวผมเลยไม่ค่อยแนะนำอะไรที่เป็นโทนแก่ๆ ให้คนที่มาขอคำปรึกษา จนกว่าเจ้าตัวจะให้โจทย์ว่า ต้องการโทนวินเทจ
High gain channel
ขยับมาแชแนล 3 ซึ่งเป็นเสียงแตก hi gain เริ่มจากปิคอัพ bridge humbucker มันให้โทนแตกหนักที่คมชัด เคลียร์ เล่นริฟฟ์สนุกจนเกือบลืมไปว่านี่คือปิคอัพ 85/15 S โทนวินเทจ ที่ส่วนตัวผมเองโดยปกติจะไม่ค่อยชอบเพราะ output ต่ำมากและให้ย่านกลางที่ไม่ถูกจริตหูตัวเอง ไหนจะแอมป์ Mesa Triple Crown ที่ใช้ก็ให้ย่านกลางนำอยู่แล้วผมยิ่งต้องระวังการปรับซาวด์ไม่ให้บวมเมื่อใช้กับกีตาร์ PRS ยุคปัจจุบัน แต่ครั้งนี้แปลก คือกับกีตาร์ PRS SE รุ่นนี้ กลายเป็นได้คาแรคเตอร์ที่ออกโมเดิร์น เคลียร์จัดๆ เล่นสนุก ค่อนข้างกระชับ (tight) ไม่ย้วย ไม่อ้วนป่อง ไม่มีความ mushy ให้สายริฟฟ์อย่างผมรู้สึกรำคาญ และกลายเป็นว่ามันช่างลงตัวอย่างเหลือเชื่อกับแอมป์ Mesa รุ่นนี้ คล้ายกับว่า ตัวกีตาร์นั้นมีย่านกลางที่น้อยกว่าค่ามาตรฐานของกีตาร์ PRS ทั่วไปอยู่นิดหน่อย แล้วก็ถูกแอมป์ช่วยเติมย่านกลางกลับเข้าไป บวกกับความเคลียร์ชัดที่มีอยู่ในตัวกีตาร์รุ่นนี้อยู่แล้ว ทุกอย่างเลยออกมาเพอร์เฟคท์สุดๆ ลองฟังในคลิปดูได้เลยครับ ซาวด์กับการตอบสนองแบบนี้แหละ ปั่นมันส์ ไม่เบื่อ ทั้งๆ ที่ตัวปิคอัพเองไม่ได้ถูกออกแบบมาให้แรงหรือโมเดิร์นอะไรเลย มันคือผลพลอยได้จากตัวกีตาร์โดยแท้
ไปต่อที่ neck humbucker คราวนี้เติม spring reverb ที่ติดมากับแอมป์รุ่นนี้เข้าไปด้วย ยิ่งเด็ด เพราะมันไม่ได้มีแต่ความฟุ้ง แต่ยังมีมีความเคลียร์ที่ช่วยให้เล่นไลน์โซโล่ดูดี ฝีมือกากๆ แบบผมปั่นก็ยังฟังดูค่อนข้างสะอาด ไม่รก ที่สำคัญยังมีความโปร่งนิดๆ จริงอยู่ว่ามันไม่ออก warm มากนัก แต่ส่วนตัวคิดว่ามันอุ่นพอสำหรับแนวเพลงส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการความ jazzy หรือ bluesy
ลองเสียงแตกเสร็จผมก็นั่งคิดต่อ ว่าถ้าขนาดปิคอัพ 85/15 S ซึ่งเอาท์พุตต่ำแถมคาแรคเตอร์ขาดเอกลักษณ์ (สำหรับผม) ตัวกีตาร์ SE CE Satin ยังช่วยให้ซาวด์ออกมาดูดีขนาดนี้ ถ้าได้อัพเกรดเปลี่ยนใส่ปิคอัพเกรดสูงๆ มันจะไปได้ไกลขนาดไหนหนอ 🤔
เทียบกับรุ่น SE CE 24 ต่างกันยังไง?

นับตั้งแต่ SE CE 24 Standard Satin เปิดตัว หนึ่งในคำถามที่มีคนแชทมาถามผมเหมือนๆ กันโดยมิได้นัดหมาย คือ กีตาร์รุ่นนี้เสียงต่างจาก SE CE 24 ยังไง? ผมขอสรุปเป็นประเด็นๆ ให้อ่านง่ายๆ ตามนี้เลยนะครับ
- ลำพัง SE CE 24 ก็ให้ความคมชัดมากแล้ว พอมาเจอกับ Standard Satin รู้เลยว่าอันหลังนี่ยิ่งคมขึ้นไปอีกขั้น
- SE CE 24โทนสดใส แต่มันก็ยังมีความอุ่น ยังมีความ mellow แบบ PRS อยู่พอสมควร ต่างจาก SE CE Standard Satin ซึ่งความอุ่นลดลงไป แต่ได้ความคมเพิ่มมาแทน
- ถ้าถามความครอบคลุมแนวเพลง ผมว่า SE CE 24 มีความ overall มากกว่า SE CE Satin อยู่นิดหน่อย
- SE CE 24 น้ำหนักมากกว่า SE CE 24 Standard Satin
- SE CE 24 ให้เสียงอคูสติกที่ดังกังวานน้อยกว่า SE CE 24 Standard Satin อยู่เล็กน้อย
- SE CE 24 ราคาสูงกว่า SE CE 24 Standard Satin 2,000 บาท (ณ 02/2024)
กีตาร์รุ่นนี้เหมาะกับใคร และมีอะไรที่ควรรู้อีกบ้าง
เหมาะกับ:
- ดนตรีทุกแนวที่เน้นความคมชัด ฟิวชัน ฟังก์ ป๊อปร็อค ร็อค เมทัล หมอลำ เมทัลทั่วไป หรืออะไรที่ต้องการความกระชับคืนตัวไว thrash metal, djent metal พวกนี้ก็เหมาะ แค่ต้องหาแอมป์หรือเอฟเฟคท์ gain ดุๆ มาเสริมแรงมันหน่อย เพราะปิคอัพเป็นแบบ low output
- คนที่ต้องการกีตาร์น้ำหนักเบาๆ แต่ก็ยังไม่อยากเปลี่ยนไปใช้แนวตัวกลวง
- มืออาชีพ คนเล่นกลางคืนที่ต้องการกีตาร์เสียงดีๆ ฟีลดีๆ ในราคามิตรภาพ
แต่ไม่เหมาะกับ:
- ดนตรีที่ต้องการความนวล นุ่ม อมๆ ทุ้มๆ เน้นโทน mellow เช่นพวกบลูส์หรือแจ๊สเก่าๆ อันนี้อาจไม่เหมาะเพราะธรรมชาติของกีตาร์รุ่นนี้มันไปทางคมและสว่าง แต่ถ้าเพื่อนๆ ใช้เล่นกับพวก DAW plugins หรือระบบ digital modeling ต่างๆ อยู่แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหาครับ เผลอๆ จะเหมาะเป็นพิเศษด้วยซ้ำ เพราะสัญญาณสะอาดชัดใสตั้งแต่ในตัวกีตาร์
- คนที่ยังติดภาพลักษณ์ว่า PRS ไม้ท็อปลายเฟลม
ข้อสังเกต:
- แม้นัทจะเป็นรุ่นปรับปรุงใหม่ตามที่ PRS เคยแจ้งผมมาแล้วเมื่อราวๆ 2 ปีก่อน แต่ SE รุ่นนี้ก็ยังมีอาการฝืดจนสายเพี้ยนอยู่บ้างในช่วงแรกๆ ของการใช้งานแต่ก็ไม่ได้ฝืดมากแบบเพี้ยนข้ามโน้ต ผมคิดว่าน่าจะต้องเบิร์นมันบ่อยๆ จึงจะเข้าที่
- เนื่องจากกีตาร์รุ่นนี้มีเสียงตัดคอยล์ที่ฟังดูดี ผมจึงใช้งานบ่อยพอสมควร จึงรับรู้ได้ว่า tone pot ค่อนข้างแน่นหนาน่าจะทนทานดี แต่ผลข้างเคียงคือต้องออกแรงค่อนข้างเยอะในการจับ speed knob ให้แน่น ไม่งั้นหลุดมือจนดึงไม่ขึ้น ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นแบบนี้ทุกตัวไหม และเรื่องนี้สำหรับคนอื่นแล้วจะเป็นปัญหาหรือไม่ อย่างไร แต่ก็เอาเป็นว่าบอกกล่าวให้รู้กันไว้ จะได้ไม่ลืมเช็กตอนไปลองของจริงครับ
ส่งท้าย
รีวิว PRS SE CE 24 Standard Satin ของผมก็จะมีประมาณนี้นะครับ หวังว่าเพื่อนๆ ที่อ่านมาจนถึงตรงนี้จะได้ประโยชน์กลับไปบ้างไม่มากก็น้อย หากเพื่อนๆ มีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับ PRS ก็สามารถเข้าไปโพสต์ได้ในกลุ่ม PRS Thailand ครับ หรือจะ inbox มาปรึกษาผมก็ได้ ถ้าผมไม่ติดภารกิจอะไรจะมาตอบให้ครับ
สำหรับรีวิวนี้ได้รับการสนับสนุนจากร้าน Music Collection ผู้แทนจำหน่ายเครื่องดนตรีแบรนด์ Paul Reed Smith ของไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อนๆ สามารถเช็กสต๊อกและราคาสินค้าได้จากหน้าเว็บของทางร้าน หรือสอบถามที่ inbox ของเพจ PRS Guitars Thailand ได้เลยครับ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ
-หมู ภานุวัฒน์-
