
รีวิวกีตาร์ PRS Dustie Waring Hardtail Limited Edition

Dustie Waring เป็นมือกีตาร์วง Between the Buried and Me ซึ่งเป็นวงแนว progressive metal ฝั่งอเมริกา Dustie ออกกีตาร์รุ่นลายเซ็นของตัวเองกับแบรนด์ PRS ตั้งแต่ปี 2014 ในรูปแบบ core series limited run และต่อมาในปี 2018 ก็เปิดตัวไลน์ผลิตแบบ mass production อย่างเป็นทางการในไลน์ผลิต Bolt on/CE 24

มาถึงในปีนี้ PRS ได้เปิดตัวกีตาร์ Dustie Waring sig เวอร์ชันพิเศษคือมากับบริดจ์แบบ hardtail คือเป็นหางแข็ง ไร้กลไกคันโยก และผลิตแบบ limited edition ที่ไม่ได้จำกัดจำนวนตัวที่จะผลิต แต่จำกัดช่วงเวลารับคำสั่งจองจากตัวแทนจำหน่ายในระหว่างต้นปี 2023 จนถึงสิ้นปีเดียวกัน
สเปค
- Model: Dustie Waring CE 24 Hardtail Limited Edition
- Body : Mahogany, 1 piece
- Top : Flamed maple, regular grade, shallow violin carved
- Neck : Maple, bolt-on, scarf-joint 3 pieces
- Neck profile : Dustie Waring
- Headstock decal : PRS signature, gold metal decal
- Truss rod cover text : CE
- Fingerboard : Maple, plain
- Fingerboard inlays : Black outline birds
- No. of frets : 24
- Scale length : 25″
- Tuners : PRS S2/CE Low-mass Locking, brass shafts
- Nut : PRS USA composite
- Bridge : PRS plate style
- Pickups : Mojotone Tomahawk gen. 2
- Controls : 1 vol, 1 tone, 5 way blade switch
- Control knobs : Black metal
- Hardware finish: Satin black
- Finish: Satin nitro
- Color(s): 6
- Accessory : CE gig bag
- ราคา : 106,400 บาท (ร้าน Music Collection ณ กันยายน 2023)
PRS Dustie Waring Hardtail มีให้เลือก 6 สีครับ






มันคืออะไร?

ใช่ครับ พูดสั้นๆ มันก็คือกีตาร์ PRS รุ่นลายเซ็นของศิลปินตามชื่อรุ่น แต่ถ้าจะพูดให้ละเอียดกว่านั้นก็คือกีตาร์รุ่นลายเซ็นตัวนี้สร้างโดยใช้พื้นฐานจากรุ่น CE 24 คือเป็นคอเมเปิลเข้าคอด้วยสกรู แล้วก็ปรับแต่งส่วนประกอบอื่นที่เหลือจนเริ่มดูแปลกแยกไปจาก PRS CE 24 ที่เราคุ้นเคยพอสมควร
ส่วนประกอบหลักอย่างแรกที่เห็นแต่ไกลก็รู้เลยว่านี่ไม่ใช่รุ่น Custom 24 แต่ก็ไม่ใช่ CE 24 ซะทีเดียวก็คือส่วนคอและฟิงเกอร์บอร์ดที่เป็นไม้เมเปิลตัดกับหัวสีดำ เมื่อฟิงเกอร์บอร์ดเป็นไม้เมเปิลสีเหลืองอ่อนๆ ทางโรงงาน PRS ก็เลือกใช้อินเลย์นก outline birds สีดำเพื่อให้ตัดกับพื้นหลังสังเกตง่าย ส่วนหัวก็มีการพ่นสีดำด้านปิดทึบไว้ โลโก้ลายเซ็นลุงพอลใช้เป็นสติกเกอร์สีทองแปะไว้แทนการฝังวัสดุ และเนื่องจากรุ่นนี้หลักใหญ่ใจความมันคือ CE 24 ที่ถูกโรงงานโมดิฟายด์มา ฝา truss rod cover จึงยังเป็น CE แทนที่จะเป็นชื่อศิลปินซึ่งเป็นปกติของกีตาร์รุ่นนี้ ไม่ได้ติดฝามาผิด แต่ผมว่าที่โรงงานทำแบบนี้ก็อาจสร้างความสับสนนะ มันเหมือนป้ายชื่อไม่ตรงชื่อรุ่น


ในส่วนของบอดี้และท็อปเป็นไม้มาฮอกกานีแปะด้วยไม้เมเปิ้ลตามสูตรของกีตาร์ยี่ห้อนี้ แต่ใช้ไม้ที่บางลงกว่าตัวพวก core Custom อยู่ราวครึ่งเซนติเมตร และในส่วนของลายเฟลมไม้ท็อปก็มีแต่เกรดธรรมดาไม่คัดลาย ไม่มีออพชันอัพเกรดใดๆ ให้เลือก ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของ Bolt on series อยู่แล้ว

ในเรื่องความบางของบอดีนั้นวิธีสังเกตว่ามันบางกว่าตัวปกติยังไงนั้น ง่ายๆ เลย ก็ดูตรง knobs จะสังเกตว่าข้างใต้ของมันไม่มีการขุดไม้เป็นหลุมลงไปเหมือนที่ตัวแพงๆ เค้ามีกัน เนื่องจากว่าไม้ท็อปบางลงมาก ทำให้ก้าน (shaft) ของ potsสามารถแหย่ทะลุออกมาได้สบายๆ ไม่จำเป็นต้องขุดหลุมบนท็อปเพื่อช่วยให้แกนโผล่ ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยอธิบายไปแล้วในบทความ PRS CE 24

พูดถึงปุ่ม control บนตัวกีตาร์รุ่นนี้ เราจะสังเกตอีกว่าตำแหน่งการวางนั้นแตกต่างจาก PRS รุ่นอื่นๆ กล่าวคือ Volume และ Tone ถูกย้ายไปทางด้านท้ายมากขึ้นเพื่อลดโอกาสมือขวาปัดไปโดนวอลุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ รวมถึงเพื่อไม่ให้เกะกะการใช้คันโยก (ของเวอร์ชัน Floy Rose) เรื่องนี้ดูเผินๆ เหมือนไม่สำคัญ แต่ผมบอกเลยว่าจากที่ตัวเองเล่น PRS มาหลายรุ่น มันมีบ้างเหมือนกันที่นิ้วก้อยตวัดไปโดนปุ่มวอลุ่มหรี่ลงไปอยู่ที่ประมาณ 7-9 โดยไม่ได้ตั้งใจแล้วทำให้เสียงออกไม่เต็ม กว่าจะรู้ตัวก็ทนเล่นแบบเนื้อไม่เต็มอยู่ตั้งนาน มันก็เป็นปัญหาเล็กๆ แหละ แต่น่าหงุดหงิด
ตัวฝาวอลุ่มนั้นเป็นวัสดุโลหะสีดำ มี Indicator เป็นหัวลูกศรสีขาวเล็กๆไว้บอกตำแหน่ง ส่วนตัวสวิทช์เลือกเสียงนั้นเป็นแบบใบมีด 5 ทางต่อวงจรไว้เหมือนกับ Custom 24 ซึ่งแก๊ก 2 กับ 4 จะเป็นการผสมเสียงแบบตัดคอยล์

ไปกันต่อที่สวนที่เป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้นั่นก็คือ Bridge แบบ hardtail หรือก็คือแบบหางแข็งไม่มีคันโยกนั่นเอง ตัว saddles ทำจากทองเหลือง บริดจ์ทั้งชุดถูกชุบสีดำด้านมาดูหล่อเหลาคมเข้มสวยงามมาก บริดจ์แบบนี้ดูเรียบง่ายการใส่สายตั้งสายรับสายทุกอย่างทำได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย ไม่ต้องกลัวว่ายุ่งกับสายหนึ่งแล้วอีกห้าสายที่เหลือจะเพี้ยน บริดจ์แบบนี้กีตาร์แนวร็อคปัจจุบันนิยมใช้กันมากเนื่องจากแนวเพลงร็อกเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเล่นคันโยกกันสักเท่าไหร่แล้ว
พลิกด้านหลังของกีตาร์รุ่นนี้เทียบกับตัวเวอร์ชั่นมีคันโยก เราจะเห็นว่าด้านหลังของตัวนี้มีเพียงรูเล็กๆ หกรูสำหรับใส่สายโดยสอดเข้ามาจากด้านหลังทะลุด้านหน้าง่ายๆ แค่นั้น นอกจากนี้ข้อดีอีกอย่างที่หลายคนอาจจะไม่ทันได้นึกถึงก็คือบริดจ์แบบนี้มีน้ำหนักเบากว่าคันโยกมากมาย

ไปที่ปิคอัพซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกีตาร์รุ่นนี้เพราะออกแบบมาเฉพาะตัวศิลปินเค้าเลย มันคือ Mojotone รุ่น Tomahawk เวอร์ชัน 2 มากับฝาครอบสีดำด้าน ดูดุดัน เข้ากับคาแรคเตอร์ของเสียงที่ถูกออกแบบมาเพื่อสายร็อค

งานเคลือบ (finishing) ของรุ่นนี้ก็นับเป็นเอกลักษณ์ของเหมือนกันเพราะมาแบบซาตินไนโตรด้านๆ ทั้งตัวตั้งแต่คอยันบอดี้ แถมด้านหลังบอดี้ยังโชว์พื้นผิวไม้มาฮอกกานีแบบดิบๆ ไม่มีการ fill grain อุดหลุมเสี้ยน ให้ลุคดิบๆ เข้ม ดุดัน


ในส่วนของอะไหล่อื่นๆก็จะคล้าย CE 24 ก็คือเป็นลูกบิดล็อคสายเสาทองเหลืองแบบเดียวกับที่แชร์ในซีรีส์ S2 กับนัทของ Core series ที่ผลิตโดย PRS เอง และเนื่องจากกีตาร์รุ่นนี้อยู่ในช่วงราคาของรุ่น CE 24 ซึ่งเป็นรุ่นระดับที่อยู่ต่ำ Core series ดังนั้นส่วนประกอบบางอย่างอาจถูกตัดลดไปบ้างเพื่อเซฟราคา เช่น อุปกรณ์พกพาก็จะเป็นกระเป๋าสะพายหนาๆ แทนที่จะเป็นเคส
สัมผัสแรก
ผมหยิบกีตาร์ขึ้นมาวางบนตัก เอื้อมมือซ้ายไปโอบลำคอของมัน ผมรับรู้ได้ถึงความบางของเชฟคอพร้อมๆ กับความสากๆ ลื่นๆ มือจากการเคลือบคอแบบด้าน ในเรื่องของความถนัดนั้นก็คงแล้วแต่มือใครมือมัน สำหรับผมเองซึ่งคุ้นชินกับคออวบอ้วนของรุ่น McCarty, McCarty 594 มาตลอด พอจับคอกีตาร์ตัวนี้ก็ยอมรับว่ารู้สึกแปลกมือพอสมควร คือมันบางได้ใจแถมยังลื่นด้วย แต่ส่วนตัวคิดว่าหลายคนน่าจะชอบฟีลประมาณนี้
ช่วงบอดี้ที่บางลงแบบนี้จะว่าไปก็ช่วยให้รู้สึกสะดวกสบายในการเล่นมากขึ้นเหมือนกันนะ คือเราจะรู้สึกว่าจุดที่เราวางมือขวามันอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น มันเหมือนกีตาร์เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรามากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นตัวหนา อันที่จริงถ้าไม่ใช่คนที่ซีเรียสมากมายอะไรกับเรื่อง tone wood ผมคิดว่าการที่ตัวบางลงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
เอื้อมมือไปลองหมุนปุ่มควบคุมต่างๆ ก็หมุนง่ายและอยู่ไกลจากพื้นที่ปฏิบัติงานของมือขวาดี ผมชอบนะ ไม่เกะกะดี เหมือนที่ตัวเองชอบจากรุ่น Hollowbody ที่ใช้อยู่เลยแหละ สมมติถ้าให้ผมออกแบบเองได้ผมก็จะวางไว้ไกลๆ มือขวาแบบนี้แหละ
ทดลองเสียง

Clean
ผมลองกับแอมป์ Triple Crown 50 combo โดยเริ่มจาก Channel 1 มี Gain บางๆ พอให้หางโน้ต break up เสียงคลีนที่ได้มีความใสที่น่าแปลกใจคือมันติดความป๊องๆ อยู่พอสมควร อาจจะฟังดูค่อนข้างแปลกเลยแหละสำหรับปิคอัพ humbucker โทนโดยรวมค่อนข้างสว่าง บาลานซ์ สวยงามกำลังเพราะ มีชีวิตชีวา มีความผ่อนคลายไม่ compressed มากมายอะไร ส่วนเสียงคลีนแก๊กอื่นก็ลองดูตามในคลิปที่ผมแปะไว้ รวมรวมก็ถือว่าเล่นได้กว้างอยู่แหละ ไม่จำเป็นต้องเป็นมือกีตาร์สายโหดก็ใช้กีตาร์รุ่นนี้ได้
พูดถึงเรื่องเสียง ผมเคยทดลอง Dustie Waring ตัวเก่าที่ติดปิคอัพเวอร์ชั่นแรกมาก่อน จำได้ว่าแม้ตอนนั้นจะใช้แอมป์โทนสว่าง แต่โทนที่ออกมาก็ไปทางอ้วนกลม เบสใหญ่ หนา แบบไม่น่าเชื่อว่านี่กีตาร์คอขาว แถมเอาท์พุตแรงมาก แต่พอลองเวอร์ชัน 2 ในครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันต่างออกไป คือคาแรคเตอร์เปลี่ยนจากย่านโลว์เยอะกลายเป็นย่านกลางแหลมเยอะขึ้นแทน คือไม่ว่าแก๊กไหนมันก็ฟังดูสว่างขึ้นสดใสขึ้นหรือภาษาชาวบ้านก็คงเรียกว่าเล่นได้กว้างขึ้นนั่นเอง ซึ่งส่วนตัวผมชอบแบบนี้มากกว่าแบบเวอร์ชันแรกที่ให้ความรู้สึกหม่นๆ ทึมๆ แต่นั่นก็อาจเป็นมุมมองลำเอียงๆ ของคนที่ชอบโทนสว่างแบบผมก็เป็นได้ ยังไงเพื่อนๆ อาจจะต้องหาโอกาสไปลองด้วยตัวเองจะดีที่สุด
High gain
แต่ถึงเสียงคลีนมันจะดีแค่ไหน คนที่เค้ามองกีตาร์รุ่นนี้หรือกีตาร์สเปคทำนองนี้ส่วนใหญ่คงสนใจเสียงแตกมากกว่า คิดเหมือนกันมั้ยครับ งั้นไปกันต่อที่เสียงแตก channel 3 เลยดีกว่า ผมทดลองเล่นทั้ง riff และ Solo รับรู้ได้เลยว่าตัวปิดแอพนั้นให้การตอบสนองที่ดุดันรุนแรง เล่นติดนิ้วใช้ได้ (ปิคอัพของ PRS ส่วนใหญ่ที่ผลิตในปัจจุบันจะขาดคุณลักษณะข้อนี้ ผมบอกเลย) มันมีความคม แหลม จิกกัด ตอบสนองต่อการเล่น Solo ความเร็วสูงและการกัดปิ๊คได้ดี ไม่มีขาดหาย กัดติดในทุกๆจุดที่ดีด ย้ำว่าทุกจุด
แต่แม้ว่ากีตาร์รุ่นนี้จะแรงขนาดไหน โมเดิร์นเพียงใด สิ่งที่ผมสังเกตการตอบสนองของมันเมื่อเล่นริฟฟ์ คือมันมีคาแรกเตอร์ที่มีความหลวมอยู่พอประมาณ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือมันไม่ได้กระชับตัดจบเร็วแบบสุดลิ่มทิมประตูอะไรมากมายนัก สังเกตในคลิปเมื่อผมใช้มืออุดสายแบบเร็วเร็วมันก็ไม่ได้กระชากหยุดแบบทันทีทันใด การตอบสนอง ยังมีความเฉื่อยความหลวมอยู่นิดหน่อยพอให้รู้สึกเป็นธรรมชาติ จริงอยู่ว่าแอมป์ซึ่งเป็นตู้คอมโบก็มีส่วน แต่ผมเคยเอา SE Holcomb มาลองด้วยแอมป์เดียวกัน มันก็ยังกระชับกว่านี้ชัดเจน ดังนั้นสรุปได้ว่า DW อาจจะเป็นกีตาร์ที่แรง แต่ไม่ได้เด่นในเรื่องความกระชับ
หลังจากทดลองจนหนำใจแล้ว ผมก็นั่งพิจารณากายภาพของมันอีกที ผมว่าในแง่ของสัมผัสการจับวางมันก็เหมือนเล่น PRS ทั่วไป ความตึงสายเท่านี้ เบอร์สายประมาณนี้ บอร์ดโค้งแบบนี้ ช่วงคอราวๆนี้ ไม่มีอะไรแปลกมืออย่างตอนเล่น SE Holcomb หรือ SE 277 หรอก ก็เพียงแค่ Dustie Waring ถูกโรงงานจับดัดแปลงพันธุกรรมเพิ่มพละกำลังและความลื่นไหลทำให้ได้ PRS สายพันธุ์ดุที่เล่นสนุกไปอีกแบบ เป็นประสบการณ์ที่แม้แต่รุ่นที่แพงกว่านี้หลายรุ่นก็ไม่อาจมอบให้ได้
แล้วถ้าเทียบกับ SE Mark Holcomb ล่ะ?
ผมมองว่าคู่เทียบร่วมค่ายที่ใกล้เคียงที่สุด (ในเชิงโครงสร้างและสุ้มเสียง) ของรุ่นนี้ ก็คงหนีไม่พ้น SE Mark Holcomb เพราะแม้ทั้งคู่จะถูกสร้างมาเพื่อใช้งานในแนวเพลงร็อค/เมทัลเหมือนกัน แต่จากประสบการณ์ที่ลองมาครบหมดแล้วผมคิดว่ามันก็มีความแตกต่างเยอะพอสมควร จริงอยู่ว่าทั้งสองรุ่นเป็นกีตาร์คนละระดับราคากัน แต่ถ้าเราเปรียบเทียบในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องต้นทุนราคาก็สามารถแจกแจงได้ในหลายประเด็นพอสมควร ดังนี้ครับ
ด้านโครงสร้าง
- ส่วนคอของทั้งคู่ทำจากไม้เมเปิลเหมือนกัน แต่ SE MH เข้าคอด้วยกาว ในขณะที่ DW HT เข้าคอด้วยสกรูประกบด้วยแผ่นเพลทโลหะ
- ฟิงเกอร์บอร์ดของ SE MH เป็นไม้ ebony แต่ DW HT เป็นไม้เมเปิล ไม้ทั้งสองชนิดมีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- และเรเดียสของ SE MH รัศมี 20” คือกว้างจนแทบจะแบนราบ ในขณะที่ DW HT ยังใช้เรเดียส 10” เหมือน PRS รุ่นปกติทั่วไป
- เรื่องนี้สำคัญมากในมุมองของผม คือ ความยาวสเกล (scale length) ของ SE MH ยาว 25.5” เท่ากีตาร์สายร็อคแบรนด์อื่นๆ ทั่วไปในตลาด แต่ DW HT ยังใช้ความยาว 25 นิ้วเท่า PRS Custom 24 นั่นหมายความว่า MH มี string tension ที่มากกว่า จะสามารถจูนต่ำ ดร็อปสายลงไปได้ต่ำกว่า DW โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดสายมากเกินไป เรื่องนี้ผมทดลองมาเยอะ ต้องบอกไว้เลยว่าสำหรับคนเล่นกับสายจริงจังแบบผมส่วนต่างแค่ครึ่งนิ้วก็มีความหมายมากแต่สำหรับคนที่ไม่ได้จะเล่นต่ำโหดอะไรมากมาย หรือดรอปต่ำสุดไม่เกิน C ผมว่า DW เอาอยู่ เหลือเฟือครับ
- อะไหล่ของ DW HT ดูดีกว่าเยอะแบบคนละเกรด (ก็แหงละ) เอาแค่เทียบงานชุบ saddles ก็เห็นความต่าง
ด้านโทนเสียง
- ปิคอัพ SE MH ไม่ว่าจะ generation ไหน ก็แรงกว่า Mojotone Tomahawk ของ DW
- ปิคอัพ Seymour Duncan Alpha & Omega ของ SE MH เจ็นแรก ให้ความกระชับตัดจบที่เร็วกว่า DW ทุกเจ็น แต่เอาจริงนะ ผมว่าทั้งชีวิตที่เคยลองปิคอัพกีตาร์แบบ passive มายังไม่เคยเจออะไรกระชับเท่าปิคอัพคู่นี้เลย
- แต่สำหรับ SE MH เจ็นปัจจุบันที่ลงปิคอัพ SD Scourge & Scarlet ผมคิดว่าการตอบสนองเริ่มมีคาแรกเตอร์ที่คล้ายกับ Mojotone Tomahawk gen 2 มากขึ้น คือมันเริ่มมีความหลวม/ย้วยนิดหน่อย ฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าทางฝั่ง MH ยังแอบมีความกระชับมากกว่านิดนึงอยู่ดี
- อาจสรุปจากหูผมได้ว่า ปัจจุบันแนวเสียงของกีตาร์ร็อคยุคใหม่เริ่มมาในแนว back-to-basic/เป็นผู้เป็นคน/ออร์แกนิค/ฟังสบายหู มากกว่าเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา จะ Mark Holcomb 2023 หรือ DW Hardtail ก็ปรับตัวมาในทิศทางนี้เช่นกัน
ด้านราคา
แน่นอนว่าของคนละตลาดก็ต้องมีส่วนต่างราคา SE MH โมเดลปัจจุบันสนนราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 40,000 กลางๆ ผลิตอินโดนีเซีย หันไปดูทาง DW HT Limited ซึ่งผลิตในโรงงานที่อเมริกา แม้จะเป็นรุ่นลิมิเต็ดแต่ราคา 106,400 บาท (ราคา ณ เดือนกันยายน 2023) ซึ่งก็ไม่ต่างจาก CE 24 สักเท่าไหร่
PRS Dustie Waring Hardtail Limited Edition – น่าจัดไหม?
เช่นเคย ผมจะแยกประเด็นให้ว่า กีตาร์รุ่นนี้เหมาะหรือไม่เหมาะกับใคร ดังนี้ครับ
For:
- คนที่ชอบใช้ gain เยอะ
- ชอบการตอบสนองของกีตาร์ที่เอาท์พุตแรง ปั่นติดนิ้ว และเป็นความแรงที่เคลียร์ชัดทุกโน้ต
- แต่ก็ยังต้องการคาแรคเตอร์บางอย่างที่เอาไว้เล่นแนววาไรตี้ได้อยู่ คือยังมีความโปร่ง สว่าง ไพเราะ ไม่เมทัลจ๋าหรือกระชับจนอึดอัดเกินไป
- ชอบความเรียบง่ายของบริดจ์แบบหางแข็ง หรือกะจะไม่ใช้คันโยกอยู่แล้ว
- ต้องการฟีลการจับถือแบบ PRS
- ต้องการ PRS ที่มาจากโรงงาน PRS ที่อเมริกา ในราคา 100,000 ต้นๆ ซึ่งจะว่ากันจริงๆ ตัวลิมิเต็ดจากอเมริกาถอยห้างในราคานี้ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ
Against:
- สายคลีน สายบลูส์ สายแจ๊ซ สายละมุน สายวินเทจ
- หรือสายอื่นใดที่ต้องการคันโยก
สรุป
ถ้าจะให้ผมสรุปแบบสั้นๆ ก็ต้องบอกว่ากีตาร์ PRS Dustie Waring Hardtail Limited Edition เหมาะกับคนที่อยากได้ PRS แรงๆ และเข้าใจเอกลักษณ์พิเศษของมัน และเล็งเห็นคุณค่าความน่าเก็บของมัน
และในวันนี้ที่ SE Mark Holcomb ผลิตอินโดนีเซียราคาพุ่งพรวดจะถึง 50,000 บาทและพวก core series ขยับปรับราคาเริ่มต้นใกล้ 200,000 บาท ดังนั้นแล้ว DW HT Limited Edition ผลิตอเมริกา ค่าตัวแสนนิดๆ แถมมีความพิเศษ มีความน่าเก็บ ไม่โหล ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ