
ความกระชับคืออะไร สำคัญอย่างไรกับเสียงแตก?
ผมเป็นคนเล่นกีตาร์ไฟฟ้าที่เน้นเสียงแตกหนักๆ (high gain) และจากการเป็น admin กลุ่มกีตาร์ชื่อ PRS Thailand ทำให้ผมมีโอกาสทดลองกีตาร์หลายรุ่น ใช้แอมป์หลายแบบ ใช้ cabinet หลายรุ่น แถมโมดิฟายเปลี่ยนปิคอัพกีตาร์มาก็เป็นสิบๆรุ่น ทำให้ผมมีประสบการณ์กับเสียงแตกหลากหลายสไตล์ ได้เรียนรู้ว่าในความเป็นเสียงแตกที่ดูเผินๆ ก็คล้ายๆกันนั้น อันที่จริงหากตั้งใจฟัง ตั้งใจเล่น สังเกตแต่ละ setup ดีๆ มันจะมีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่ มันยังมีอะไรอีกมากนอกเหนือจาก EQ กับระดับ gain มันยังมีอีกหลายปัจจัยที่หล่อหลอมให้เกิดผลลัพธ์เป็นโทนเสียงแตกคาแรคเตอร์ต่างๆ หนึ่งในสิ่งที่ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของโทนเสียงแตกคือสิ่งที่เรียกว่า “ความกระชับ (tightness)” ซึ่งผมอยากพูดถึงในวันนี้ครับ
ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าอันนี้เล่าจากประสบการณ์จากการใช้กีตาร์กับแอมป์หลอด เป็นการใช้งานในสไตล์อนาล็อกเพียวๆ หลายกีตาร์ หลายแอมป์ หลายเซ็ทอัพ วิเคราะห์จากหูและการทดลองเล่นประจำๆ เป็นแรมปี ไม่มีเครื่องมือ sound analyzer ใดๆ มาวัดคลื่นความถี่เสียงขึ้นจอ ไม่มีระบบ digital modelling เข้ามาเกี่ยว กีตาร์ก็เป็นแบบ passive pickups จึงขอให้เข้าใจตรงกันก่อนว่าทั้งหมดที่จะได้อ่าน ถูกหล่อหลอมจากสภาพแวดล้อมที่กล่าวมานี้ ซึ่งถ้าคนที่ใช้วิธีการต่างออกไป (เช่น ใช้เอฟเฟคท์แบบมัลติจำลอง signal chain ออกมอนิเตอร์) การรับรู้ในเรื่องความกระชับนี้ก็จะแตกต่างจากวิธีการของผม
อะไรนะ เสียงกระชับ?
หลายคนที่ไม่ใช่สาย high gain จริงจังหรือเล่นแต่เพลงป๊อปร็อคตลาดไทยทั่วไป อาจจะงงกับที่ผมเกริ่นมาทั้งหมด จากประสบการณ์ของผม ความกระชับหรือความ tight คือลักษณะการตอบสนองของของเสียงกีตาร์ไฟฟ้าที่ “เก็บตัวไว” ดีดคือดัง หยุดเป็นหยุด ทันทีทันใด เปิดทันทีปิดทันใด ทุกย่านเคลียร์ชัด ไม่มีอาการฟู ฟุ้ง พร่า บวม เบลอ ซึ่งเราจะสังเกตอาการที่ว่ามานี้ได้ง่ายที่สุดในย่านความถี่กลางไปถึงต่ำ
ความกระชับมีประโยชน์เป็นอย่างมากกับการเล่นริฟฟ์เร็วๆ และใช้ gain เยอะ รวมถึงจะช่วยให้การโซโล่มีความชัดถ้อยชัดคำ ถึงเล่นเร็วโน้ตก็จะยังแยกจากกันชัดเจนไม่อมไม่พร่ารวมกัน ซึ่งเรื่องนี้สายปั่นทั้งหลายคงเคยเจอกับอาการใช้ neck humbucker เล่นสปีดสูงๆ แล้วมีปัญหาว่าฟังโน้ตไม่ค่อยรู้เรื่อง
ลักษณะของเสียงกีตาร์ที่มีความกระชับ จะเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับโทนสไตล์วินเทจทั้งหลายซึ่งมักมีย่านกลางที่ป่อง เปิด หรือบางครั้งถึงขั้นบวมจนต้องระมัดระวังในการปรับซาวด์แอมป์กับเอฟเฟคท์ โทนวินเทจให้ความนวลละมุนฟังสบาย ในขณะที่โทนกระชับให้การตอบสนองที่รวดเร็วเอื้อต่อการเล่นที่แตกต่างไปจากสายวินเทจ
เสียงแบบไหนถึงจะเรียกว่ากระชับ?
ผมรู้ดีว่าเรื่องแบบหัวข้อที่แล้วนั้น เขียนอธิบายไปยังไงก็เข้าใจยากครับ ขนาดผมเองกว่าจะเข้าใจรื่องพวกนี้ก็ใช้เวลาลองนั่นลองนี่อยู่เป็นปี แต่ผมจะช่วยให้เพื่อนๆ ไม่เสียเวลานานขนาดนั้น ลองดูคลิปที่ผมอัดไว้ แล้วสังเกตความต่างที่ซ่อนอยู่ดูครับ
ทุกคลิปเล่นด้วยแอมป์หลอด PRS Mark Tremonti MT15 หัวเดียวกัน cab ใบเดียวกัน ไม่มีเอฟเฟคท์ใดๆ ปรุงแต่งเสียง การอัดก็อัดสดซื่อๆ ง่ายๆ หน้าตู้ ไม่มีการปรับแต่งในคอม คลิปแรก กีตาร์ PRS Mark Tremonti Stoptail 10 Top (scale length 25” ปิคอัพ PRS Tremonti set) เกนกับ EQ เที่ยง
คลิปที่สอง กีตาร์ PRS SE Mark Holcomb (scale length 25.5” ปิคอัพ Seymour Duncan Omega&Alpha set) ครั้งนี้ผมต้องปรับหน้าแอมป์ต่างไปนิดหน่อย คือลด Bass ลงจากเที่ยงเป็น 11 โมง และเพิ่ม Mid จากเที่ยงเป็นเที่ยงครึ่ง
แน่นอนล่ะว่าเสียงคลิปนี้ต้องต่างจากคลิปแรกเพราะกีตาร์เป็นคนละรุ่น คนละทรง คนละปิคอัพ ใช่ครับผมไม่เถียงว่าดีดออกมามันก็เรียกว่าเสียงแตกนั่นแหละ แต่อยากให้ฟังอย่างตั้งใจ สังเกตบาง lick ที่ผมเล่นเหมือนกับคลิปแรก และสังเกตเพิ่มเติมเวลาผมเล่น palm mute หรือดีดสาย 6 เปล่าเพื่อเล่น pedal note ของลูกริฟฟ์ รู้สึกว่าอาการของการตอบสนองต่อการดีดมีอะไรต่างจากคลิปแรกมั้ยครับ?
ใช่แล้วครับ แม้ทั้งสองคลิปจะแตกแรงพอๆ กัน แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ในคลิปที่ผมใช้ PRS SE Mark Holcomb เล่นนั้น การตอบสนองของกีตาร์มีความฉับไวกว่า และอาการบวมเบลอของย่านต่ำและย่านกลางนั้นแทบจะเป็นศูนย์เลย ไม่ว่าผมจัดีดสาย 6 เปล่าๆ เพื่อเล่น pedal note หรือแม้กระทั่งเล่นริธึ่มแบบ intervals ในช่วงท้ายคลิปด้วย neck humbucker ก็สามารถทำได้ชนิดที่ไม่รู้จักว่าคำว่าเบลอแปลว่าอะไร อย่าลืมว่าคลิปนี้ผมลดย่านโลว์ของแอมป์แล้ว แถมเพิ่มย่านกลางอีกต่างหาก เสียงเบสก็ยังมหึมาปานนั้น กระนั้นมันก็ยังเป็นลูกชัดเจนแถมตอบสนองไว สำหรับผมถือว่ากีตาร์รุ่นนี้สุดยอดมากสำหรับการเล่นสไตล์นี้
ส่วนคลิปที่ใช้ PRS Mark Tremonti Stoptail เล่นนั้น จริงอยู่ว่าแตกแรงพอๆ กัน เล่นริฟฟ์ก็สนุกอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเหลือเฟือเหลือใช้สำหรับสายเมทัลส่วนใหญ่ หากแต่คาแรคเตอร์การตอบสนองนั้นมีความ “หลวม” มากกว่า SE Holcomb เทียบจาก lick เดียวกันที่ผมเล่นในอีกคลิปนึง และเทียบเสียงจังหวะที่ผมดีดแต่ 6 เปล่าๆ อันนั้นจะเห็นความต่างของการตอบสนองได้ชัดเจนที่สุดว่า Tremonti ไม่ได้ “หยุดทันที/เก็บตัวไว” อย่าง SE Holcomb และลักษณะการตอบสนองแบบ SE Holcomb นี่แหละครับ คือหนึ่งในตัวอย่างของความกระชับแบบ ขั้นสุด (สำหรับกีตาร์กับปิคอัพแบบ passive pickups ออกแอมป์หลอดนะ)
จริงอยู่ว่าทั้งสองคลิปนั้นผมจูนสายไว้ไม่เท่ากัน SE Holcomb น่าจะแค่ dropped D ธรรมดาเพราะมีลูกค้าคนก่อนหน้าตั้งไว้แล้วผมขี้เกียจตั้งใหม่ทั้งคอ ในขณะที่ Tremonti ผมดันขยันจูนกดลงไป dropped C เลย แต่ผมเคยใช้ SE Holcomb dropped C มาก่อนหน้านี้มาหลายครั้ง ยืนยันว่าถึงยังไงก็กระชับกว่า แน่นกว่า แน่นอนครับ
มีอีกคลิปนึง อันนี้คนละ test environments จากสองคลิปแรก คือแอมป์เป็น ENGL Fireball 100 ส่วนกีตาร์รอบนี้มาแปลกหน่อย เป็น PRS Hollowbody Spruce กีตาร์ PRS รุ่นนี้ไม้หน้าเป็น solid sitka spruce ไม้หลังเป็นมาฮอกกานี ลำตัวกลวงแทบจะ 100% เสียงคลีนเดิมๆ นุ่มนวลออกโทนแจ๊ส แต่ผมก็ข้ามเส้นความแจ๊สด้วยการติดปิคอัพ Bare Knuckle Juggernaut และตั้งสายดรอป C# เพราะอยากลองแอมป์ว่ามันจะไหวมั้ยกับกีตาร์โครงสร้างหลวงๆ จะกระชับหรือบวมหลวม และนี่คือผลลัพธ์ครับ ทั้งกระชับ ทั้งไบรท์ คมชัดทุกเม็ด
แล้ว ตกลงไอ้ความกระชับนี่มันดีไหม?
ต้องตอบว่าแล้วแต่การใช้งานครับ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ถ้าต้องการความชัดเจนเก็บตัวไว เล่นเร็ว ริฟฟ์โหด ใช้เกนเยอะ อะไรทำนองนี้ การมีความกระชับไว้ช่วยจัดระเบียบโทนของเราก็จะมีประโยชน์มาก ในทางตรงกันข้าม หากเราต้องการโทนที่มีความหลวม เปิด โปร่ง ฟังเพราะฟังสบาย บลูส์ ป๊อป แจ๊ส และไม่ได้จะเล่นริฟฟ์เร็วๆ ไม่เล่น Metallica ไม่ Disturbed ไม่ Periphery อะไรเทือกนั้นแล้ว ความ tight ที่มีมากเกินไปก็อาจกลายเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์
ผมไม่สามารถบอกได้ว่าแนวที่เพื่อนๆ เล่นอยู่ต้องการความ tight มากแค่ไหน อยากได้หลวมๆ หรือแน่นกลางๆ หรือกระชับแบบสุดๆ นั้น มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องหาคำตอบด้วยตัวเองผ่านการฝึกการเล่นเยอะๆ ทดลองอุปกรณ์ให้หลากหลาย ใช้งานให้นานพอจนตกผลึกทางความคิดว่าเราเหมาะกับมันมั้ย
ยกกระชับซาวด์แบบไม่ต้องเปลี่ยนกีตาร์กับแอมป์
มันก็มีเทคนิคเพิ่มความกระชับโดยไม่ต้องเปลี่ยนกีตาร์หรือแอมป์อยู่บ้างเหมือนกัน เป็นต้นว่า
- ปรับแอมป์ใหม่โดย cut ย่านกลางและย่านต่ำออกเยอะๆ แล้วเสียงจะกระชับขึ้น
- ใช้ก้อน overdrive บางรุ่นช่วยเชพให้เสียงกระชับ (เช่น Boss Super Overdrive และ Horizon Devices Nano Attack และ Precision Drive)
- ใช้ก้อน noise gate ช่วยตัดความจี่ที่หางเสียงออกไป


ซึ่งนั่นก็ช่วยได้ แต่ผมว่านั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า เพราะจากที่ผมทดลองมา ก้อนพวกนี้ก็ช่วยได้ประมาณนึงเท่านั้น ถ้าคาแรคเตอร์กีตาร์มันออกหลวม บูสต์เข้าไปยังไงมันก็ไม่กระชับ แถมมันยัง color ซาวด์แอมป์ให้เพี้ยนไปตามแต่ก้อนนั้นจะถูกออกแบบมา ซึ่งสำหรับสายแอมป์หลอดแท้แบบผม เรื่องนี้ผมซีเรียสมากเพราะต้องการซาวด์จากแอมป์เป็นหลักและลงทุนกับแอมป์หลอดดีๆ ค่อนข้างสูง ดังนั้นการถูกเอฟเฟคท์ color โทนจึงเป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้
ข้อพิสูจน์ของผมที่ว่าถ้ากีตาร์กับแอมป์ถูกออกแบบมาให้มีความ tight ในตัวเองอยู่แล้ว ก้อนเสริมต่างๆ ก็ไม่จำเป็น นั้น ดูง่ายๆ จากคลิปที่ผมใช้ PRS SE Mark Holcomb ชัดเจนว่าแม้ย่านโลว์จะมโหฬาร (ทั้งๆ ที่ผม cut Bass ลงไปบ้างแล้ว) และก็ไม่มีก้อนช่วย tight ใดๆเลย แต่ไม่ได้กระทบความกระชับของกีตาร์เลยแม้แต่น้อย แปลว่าถ้าตัวกีตาร์มันถูกสร้างมาเพื่อให้ tight ตั้งแต่แรก ทั้งในส่วนของโครงสร้างตัวกีตาร์รวมถึงระบบไฟฟ้า ร่วมกับเลือกใช้ชุดแอมป์ที่เหมาะสม ก็แทบไม่จำเป็นต้องปรับแต่ง EQ หรือใช้ก้อนช่วยแต่อย่างใด
แต่ถ้าจะมองในแง่ดี การใช้ก้อนช่วยก็เป็น solution สำหรับคนที่ไม่พร้อมจะลงทุนกับชุดอุปกรณ์เฉพาะแนว (กีตาร์สายโมเดิร์น+แอมป์ high gain รุ่นใหม่ๆ) หรือต้องการความหลากหลายในการใช้งานด้วยกีตาร์เพียงหนึ่งตัว สำหรับหลายๆ คน ทางออกนี้คือการ compromise ที่คุ้มค่า หรือถ้าจะเอาตามเทรนด์สมัยนี้ หลายคนก็เลือกไปทางเอฟเฟคท์มิลติ จำลองทุกอย่างจบเลยในตัว เคลื่อนย้ายก็ง่าย ก็เป็นทางเลือกที่สะดวกดีครับ
พูดถึงตัวกีตาร์ อะไรมีส่วนช่วยสร้างความกระชับได้บ้าง?
จากที่ผมลองมาหลายกีตาร์ หลายแอมป์ ผมสรุปตัวแปรที่สำคัญๆ ในตัวกีตาร์ที่ช่วยสร้างความ tight ตามธรรมชาติ เรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อยได้ดังนี้ครับ
- ความยาวสเกล (scale length) เรื่องนี้สำคัญมาก ระยะสเกลที่มีความยาวเพียงเฟตุช่วยให้มีความกระชับมากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดสายเพื่อชดเชยให้แต่อย่างไร เรื่องนี้สำคัญมาก จากประสบการณ์ของผมไม่น่าเชื่อว่าตัวแปรนี้สำคัญที่สุด จากเมื่อก่อนที่ผมคิดว่า กีตาร์อะไรก็ได้ แค่ลงปิคอัพแรงๆ อัพขนาดสาย ฯลฯ ทำตามสูตร “ที่เขาว่ากันมา” เดี๋ยวก็กระชับแน่นเอง แต่จากที่ลองๆ มา รวมถึงคลิปที่ผมแปะไว้ซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่งจากการทดลองหลายๆ สถานการณ์ ทำให้ผมสรุปได้ว่า อย่างแรกสุดถ้าอยากได้โทนที่กระชับ ตัวกีตาร์ควรมีความยาวสเกลอย่างน้อย 25 นิ้ว หรือก็คือความยาวสเกลประมาณ PRS Custom หรือ McCarty (แมคปกติที่ไม่ใช่ 594) ถามว่าแล้วกีตาร์สเกลสั้นใช้เล่นหนักๆได้ไหม ก็ได้ครับ แต่มันจะขาดความกระชับ ถ้าจูนต่ำอาจต้องใช้วิธีเพิ่มขนาดสาย ซึ่งแม้จะได้ string tension ชดเชยมา แต่กพ่วงมาด้วยย่านโลว์เบลอๆ ยิ่งแก้ยิ่งเละ สุดท้ายก็ลามไปที่อุปกรณ์ช่วยอื่นๆ ปิคอัพ เอฟเฟคท์ แอมป์ ฯลฯ แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางสู้กีตาร์ที่มีโครงสร้างที่เหมาะสมกว่าได้อยู่ดี
- ปิคอัพ จากที่ผมทดลองเปลี่ยนปิคอัพกับกีตาร์ PRS หลายตัว ต้องบอกว่าอะไหล่ส่วนนี้ช่วยได้เยอะ และเป็นการช่วยตั้งแต่ต้นทาง ปิคอัพแบบ passive (ปิคอัพแบบที่ไม่ใส่ถ่าน) แรงๆ ที่ลองแล้วเจ๋งเรื่องความกระชับ แน่นอนว่าอันดับหนึ่งก็ต้องยกให้ Seymour Duncan Omega&Alpha set, Bare Knuckle Aftermath, Bare Knuckle Warpig Ceramic, Bare Knuckle Cold Sweat
- ชนิดไม้ สมัยหลายปีก่อนตอนที่ผมยังไม่มีกีตาร์ให้ลองเยอะอย่างทุกวันนี้ ผมอ่านคอนเทนท์พวก tone wood มาเยอะแล้วก็ทำให้เชื่อว่าไม้คือปัจจัยแรกสุดที่น่าจะกำหนดโทนและการตอบสนอง แต่มาวันนี้จากที่ได้ทดลองมามากต่อมาก… ผมสรุปได้ว่า tone wood ไม่ได้สำคัญที่สุดในเรื่องนี้เลยครับ ตราบใดที่ไม้ส่วนประกอบตัวกีตาร์ไม่เป็นส่วนผสมที่สร้างความ loose อย่างสุดโต่งเกินไปก็จะไม่ใช่ปัญหาในเรื่องความtight อะไรบ้างที่สุดโต่งจนไม่ tight ในความเห็นของผม? หนึ่งในนั้นที่ผมนึกออกเร็วๆเลย คือไม้คอที่ทำจากไม้ rosewood ทั้งแท่งแมทช์กับบอดี้มาฮอกกานี เนื่องจากไม้พวกนี้ให้ย่านโลว์ถึงโลว์มาก แถมคอโรสวูดทั้งแท่งยังให้ซัสเทนที่มหาศาลซะจน… ถ้าจะว่ากันตามตรงคือ ล้นเกินไปสำหรับคำว่ากระชับ ย่านโลว์หึ่งๆ ยาวๆ แบบนี้จึงไม่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความกระชับนั่นเอง
แล้วกีตาร์ PRS ล่ะ ถ้าอยากได้ความกระชับขั้นสุด แนะนำรุ่นไหน?
อันดับหนึ่งความ tight จากค่ายนก หรืออาจจะติด top 10 ของกีตาร์แนวนี้ของทั้งวงการกีตาร์ ก็ต้องยกให้ SE Mark Holcomb ครับ ผมคลุกคลีกับกีตาร์ PRS มานานหลายปี หลายรุ่น หลายแอมป์ โมปิคอัพกีตาร์มาก็เยอะ ไม่เคยเจอ PRS รุ่นไหน tight แบบสุดขีดเท่านี้ ด้วยการออกแบบใหม่ตั้งแต่โครงสร้าง สเปคไม้ อะไหล่ ยันปิคอัพ ทำให้มันไม่เหมือน PRS รุ่นไหนๆ ที่เคยมีมา และเราก็ไม่สามารถโมดิฟายรุ่นที่เรามีอยู่ให้ได้คาแรคเตอร์แบบมันได้ แถมยังมากับราคาค่าตัวเป็นมิตรเพียงราวๆ 34,000 บาท (ราคา ณ เดือนธันวาคม 2565) SE Mark Holcomb จึงเป็นเบอร์หนึ่งที่ผมแนะนำสำหรับคนรักกีตาร์แบรนด์นกสายนโมเดิร์นครับ

ส่งท้าย
ก็หวังว่าการถ่ายทอดประสบการณ์อันน้อยนิดของผมคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่แวะเข้ามาอ่านกันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ สุดท้ายอยากขอย้ำอีกครั้งซึ่งเป็นเรื่องที่หลายๆคนมักหลงผิด มองข้ามไป คือ ในการเลือกกีตาร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จะมาเล่นกับมัน อยากแนะนำให้เลือกจากการใช้งานของเราเป็นอันดับแรก มากกว่าเลือกที่ออพชันหรูหราหรือเลือกใช้ตามกระแส ถ้าเราเลือกใช้เครื่องมือให้ตรงกับงาน เราจะมีความสุขในการเล่น จะรู้จักมันอย่างลึกซึ้ง จนสามารถดึงศักยภาพของเครื่องดนตรีออกมา และมีความสุขกับการเล่นมากที่สุดครับ
