Gibson เปิดตัว CEO คนใหม่ อดีตผู้บริหาร “ยีนส์ลีวายส์”

หลังจากยื่นขอล้มละลายพร้อมทั้งเสนอแผนปรับปรุงโครงสร้างองค์กรต่อศาลล้มละลาย Delaware ของอเมริกาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 เนื่องจากมีหนี้สินค้างชำระสูงถึงกว่า 16,000 ล้านบาท หกเดือนต่อมา Gibson Brands แบรนด์กีตาร์ยักษ์ใหญ่ก็ได้รับความเห็นชอบจากศาลให้ดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้างองค์กรได้ โดยหลักใหญ่ใจความของแผนปรับโครงสร้างดังกล่าว คือ สถาบันการเงินต่างๆ ที่ Gibson เคยกู้ยืมเงินมาลงทุน จะได้ครอบครองเป็นเจ้าของบริษัท Gibson พร้อมทั้งโละผู้บริหารชุดเดิมทั้งหมด แล้วแทนที่ด้วยผู้บริหารชุดใหม่ที่เจ้าของใหม่จะแต่งตั้งเข้ามา ทั้งหมดนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับหนี้ก้อนมหึมาที่ผู้บริหารชุดเก่ากู้ยืมมาลงทุนแล้วไม่สามารถหาเงินคืนได้ทันตามกำหนดนั่นเอง

ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา Gibson Brands ภายใต้การนำของเจ้าของบริษัทรายใหม่ ก็ประกาศชื่อ CEO คนใหม่ ผู้นำองค์กรตำแหน่งสำคัญที่จะมาเป็นกัปตันเรือยักษ์ยี่ห้อกิบสัน ให้ลอยลำผ่านโขดหิน ช่องแคบ ภูเขาน้ำแข็งใต้ทะเลให้ไปถึงฝั่งอย่างปลอดภัย ไม่หวิดล่มทั้งลำอย่างที่กัปตันคนเก่าเคยทำไว้ อาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่จะมาเป็นผู้บริหารคนใหม่ตำแหน่งนี้ จะต้องเผชิญกับความท้าทายและความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ทั้งจากบอร์ดบริหาร และที่สำคัญกว่านั้น คือแฟนๆกีตาร์ Gibson ทั่วโลก เขาผู้นี้มีนามว่า James Curleigh

Gibson’s new CEO! เขาเป็นใคร?

 

James Curleigh (เจมส์ เคอร์ลี) หรือชื่อย่อ JC ซีอีโอคนใหม่ ฉายาที่เขาใช้เรียกตัวเอง คือ “พ่อมดออซแห่งการตลาด” จบการศึกษาจาก business school ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง Harvard และ Stanford มีประสบการณ์ทำงานในตำแหน่งใหญ่ๆ ในบริษัทดังๆมากมาย เป็นนักการตลาดมือฉมังที่ช่วยให้หลายบริษัทที่เขาร่วมงานด้วยมีผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ

JC ชอบเล่นกีตาร์ และที่สำคัญเขาเป็นนักสะสมกีตาร์ด้วย ซึ่งหนึ่งในแบรนด์กีตาร์ที่เขาชื่นชอบและสะสมอยู่ก็คือ Gibson ปีเก่าๆ เช่น Gibson J-45 ปี 1960 เก่าเก๋าได้ใจ

 

ประสบการณ์การทำงาน

เว็บไซท์ guitar.com สรุปประวัติการทำงานของคุณเจมส์ไว้น่าสนใจ เพราะมีประสบการณ์ด้านการวางกลยุทธ์การตลาดกับแบรนด์สินค้าดังหลายแบรนด์ที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องดนตรีเลย แต่จะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหาร ขนม อาหารสัตว์ เสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์กีฬา

เริ่มตั้งแต่ Mars, Incorporated ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของแบรนด์อาหาร ขนม อาหารสัตว์ ที่เรารู้จักหลายยี่ห้อเช่น M&M’s หมากฝรั่ง Wrigleys อาหารสุนัข Pedigree อาหารแมว Whiskas ผลงานที่ทำให้ JC เป็นเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจมากยิ่งขึ้น คือการชักชวนให้เจ้าของบริษัทร่วมเป็นสปอนเซอร์ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่กรุงบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ในปี 1992 รวมถึงการนำยี่ห้อ ขนม Snickers กลับมาชุบชีวิตใหม่จนเป็นที่โด่งดังถึงทุกวันนี้
อาจกล่าวได้ว่า การมีส่วนร่วมกับกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 1992 นั้น เป็นจุดเริ่มต้นระหว่างเขา กับวงการอุปกรณ์กีฬา หลังจากสร้างผลกำไรให้กับบริษัทขนมและอาหารสัตว์เลี้ยงแล้ว เขาก็เปลี่ยนแนวไปร่วมงานกับแบรนด์ Salomon ซึ่งเป็นผู้ผลิต รองเท้า เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬาแนว Adventure ชื่อดังของอเมริกา โดยเริ่มงานในตำแหน่งใหญ่ Managing Director สาขาอังกฤษ และใช้เวลา 4 ปีไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่ง CEO ดูแลกิจการของแบรนด์ Salomon ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ
จากนั้นในปี 2008 JC ลาออกไปร่วมงานกับแบรนด์รองเท้า KEEN ในตำแหน่งประธานบริษัทและ CEO ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งที่นั่นได้สร้างผลงานไว้มากมายจนสามารถเพิ่มยอดขายรองเท้า KEEN ได้แบบก้าวกระโดด จาก $130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ to $140 million. By the end of 2011, that figure would leap to $240 million
ด้วยฝีไม้ลายมือการบริหาร มีผลงานชัดเจน จึงไม่แปลกอะไรที่พ่อมดคนนี้จะมีบริษัทใหญ่ๆ มารุมจีบ ในปี 2012 แบรนด์เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ที่พวกเราทุกคนรู้จักดีอย่าง ลีวายส์ (Levi’s Strauss & Co.) ได้ชักชวน JC เข้ามาร่วมงานในตำแหน่ง Brand President ซึ่งเขาก็ได้ใช้ความสามารถในการพาแบรนด์ยีนส์เก่าแก่ให้ปรับตัวเข้ากับตลาดยุคปัจจุบันด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดของเขา ผลงานที่ JC สร้างไว้ให้คนทั่วไปได้รู้จัก คือการขอใช้ชื่อ Levi’s Stadium เป็นชื่อสนามเหย้าของทีมอเมริกันฟุตบอล Santa Clara 49er ณ เมือง San Francisco บ้านเกิดของแบรนด์ Levi’s  และยังมีการสร้างอาคารพื้นที่เกือบ 2000 ตารางเมตรเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้เกี่ยวกับผ้า denim (ผ้าที่ใช้ตัดเย็บยีนส์)
JC ร่วมงานกับลีวายส์ยาวนานถึง 6 ปี ก่อนจะลาออกเพื่อมาร่วมงานกับ Gibson ในตำแหน่ง CEO ซึ่งมีกำหนดเริ่มงานในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2018

วิสัยทัศน์ CEO คนใหม่ของ Gibson Brands

JC ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone เกี่ยวกับสิ่งแรกที่เขาจะทำในตำแหน่งผู้นำแบรนด์กีตาร์ที่กำลังบอบช้ำ ว่า จะขอบคุณพนักงานทุกคนที่อดมนฝ่าฟันช่วงเวลาเลวร้าย (ช่วงที่ประกาศล้มละลาย) และเขาจะทำให้บริษัทนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาเปรียบเทียบการบริหารองค์กรเก่าแก่อย่างลีวายส์กับกิบสันเหมือนรถยนต์ ตรงที่กระจกหน้าจะกว้างกว่ากระจกท้ายรถเสมอ เพราะรถยนต์ต้องใช้ขับไปข้างหน้า การจะบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จ ต้องมองไปที่อนาคตมากกว่าอดีต

เขามองว่าทั้งแบรนด์ Levi’s และ Gibson มีความคล้ายกันหลายประการ เช่น เป็นแบรนด์เก่าแก่เหมือนกัน มีความพยายามรักษาความดั้งเดิมของตัวเองเอาไว้อย่างเหนียวแน่นเหมือนกัน แต่ก็ต้องใช้ความพยายามในการปรับตัวให้ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ JC มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แล้วจากการร่วมงานกับยีนส์ลีวายส์ เพราะนับตั้งแต่เขาร่วมงานกับแบรนด์นั้นและมีบทบาทด้านการตลาด ผลกำไรของลีวายส์ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

JC กล่าวว่า Gibson ยุคใหม่ จะกลับมาโฟกัสการสร้างกีตาร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด โดยจะไม่วอกแวกไปเสี่ยงกับธุรกิจที่ไม่เชี่ยวชาญดังเช่นที่ผ่านมา ซึ่งคำพูดนี้จะว่าไปก็คล้ายๆ ที่อดีตซีอีโอ Henry Juszkiewicz เคยกล่าวไว้หลังจากที่เดินมาถึงทางตันทางการเงินจนต้องยื่นขอล้มละลาย

แล้ว CEO คนเก่าล่ะ?

คุณ Henry Juszkiewicz อดีต CEO และเจ้าของบริษัท Gibson Brands รวมทั้ง David Berryman ประธานบริษัทเพื่อนยาก ผู้ร่วมชุบชีวิตแบรนด์ด้วยกันมาเมื่อปลายยุค 80s  ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งเพื่อสังเวยการกู้เงินมาลงทุนแล้วเจ๊งย่อยยับ สิ่งที่คุณเฮนรี่และคุณเดวิดจะได้รับจากนี้คือตำแหน่งที่ปรึกษาในบริษัทซึ่งจะได้ค่าจ้างตอบแทน มีสัญญาการจ้างงาน 1 ปี โดยตำแหน่งที่ปรึกษาที่ว่านี้ ไม่มีอำนาจการตัดสินใจใดๆ ท้ังสิ้น แต่เป็นคนที่ให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่เจ้าของใหม่ – ผู้บริหารใหม่ เท่านั้น

สำหรับบอร์ดบริหารชุดเก่ายุคคุณเฮนรี่เรืองอำนาจนั้น ก็ถูกยุบทั้งหมด และมีการแต่งตั้งบอร์ดบริหารชุดใหม่ขึ้นมา ดังที่ผมได้นำเสนอไปแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

สำหรับโครงสร้างการบริหารที่เปลี่ยนสมาชิกใหม่ยกแผงนั้น เป็นดังนี้ครับ

 

 

ส่งท้าย

ผมดูประวัติการทำงานของ CEO คนใหม่ของ Gibson ท่านนี้ ดูจะมีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนกับการร่วมงานกับบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งบางเจ้าก็เป็นแบรนด์เก่าแก โดยเฉพาะยีนส์ Levi’s ซึ่งอายุอานาม 150 กว่าปีนั้นเก่ายิ่งกว่ากว่าอายุ 116 ปีแบรนด์ Gibson เสียอีก

ถ้าเพื่อนๆ สงสัยว่าผู้นำบริษัทแบรนด์กีตาร์ที่ไม่เคยบริหารแบรนด์สินค้าเครื่องดนตรีมาก่อนเลย จะพาบริษัทไปรอดไหม ผมคิดว่าในโลกของธุรกิจ เรื่องของการบริหารก็เป็นเหมือนศิลปะนะครับ บางครั้งผู้บริหารไม่ได้รู้เรื่องทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ของตัวเองไปทุกเรื่องหรอก แต่รู้วิธีการหาคน ใช้คน ส่งเสริมให้คนคิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าสมัยใหม่ เป็นต้น อย่าลืมนะครับว่า Leo Fender เป็นช่างซ่อมวิทยุ Ted McCarty อดีต President ของ Gibson ยุค 50s ก็เรียนสายวิศวกรรมศาสตร์และไม่เล่นกีตาร์ รวมถึงอดีตซีอีโอ Henry Juszkiewicz ก็ไม่ใช่นักดนตรี แต่เป็นวิศวกรที่จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจอีกใบ ก็สามารถเข้ามากอบกู้แบรนด์ Gibson ที่กำลังร่อแร่ในช่วงปลายยุค 80s เช่นกัน บุคคลเหล่านี้สามารถสร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่วงการกีตาร์ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ใช่นักดนตรีอาชีพหรือต้องเรียนสายธุรกิจดนตรีอะไรเลย

ในกรณีของซีอีโอ JC คนนี้ แม้เขาไม่เคยบริหารบริษัทเครื่องดนตรีมาก่อน แต่อย่างน้อยโดยส่วนตัวเขาเองก็เล่นดนตรีและสะสมกีตาร์ Gibson ไม่ต่างอะไรจาก Nat Zilkha ประธานบอร์ดบริหารที่เป็นอดีตนักดนตรีอาชีพ เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของการบริหาร ต้องมีหัวคิดแบบนักธุรกิจด้วยองค์กรถึงจะไปรอด ถ้าต้องรับผิดชอบในหน้าที่แบบนี้แล้วรู้แต่เรื่องดนตรี ผมว่า อันตราย

ผมเคยพูดคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในวงการซื้อขายเครื่องดนตรี ได้รู้ว่าคนที่ทำธุรกิจนี้ในบ้านเราหลายคน ไม่เล่นดนตรี หรือต่อให้เล่นก็แค่พอเล่นได้บ้างนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แต่สามารถบริหารร้านขายเครื่องดนตรีและมีผลประกอบการที่ดีได้  เพราะมีความเป็นผู้ประกอบการ เป็นนักธุรกิจ ที่มองช่องเป็น ซึ่งเรื่องนี้ผมเองก็เห็นด้วย เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ไม่ใช่แค่วงการอุตสาหกรรมเครื่องดนตรี แต่ผมคิดว่ามีทุกวงการ

ส่วนตัวผมมองว่า Gibson เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ความผิดพลาดที่ผ่านมาเกิดจากการตัดสินใจผิดลาดของผู้บริหารชุดที่แล้ว ผมคิดว่าจากนี้ไป ภายใต้เจ้าของใหม่และผู้บริหารชุดใหม่ เราคงได้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจากการเรียนรู้ความผิดพลาดที่ผ่านมา ก็ติดตามกันต่อไปนะครับ

 

**********************

กลุ่มเฟสบุค PRS แอดเข้ามากันได้ คลิกที่นี่ครับ

กด Like page ของผมได้ที่นี่จ้า