
PRS SE Mark Tremonti -VS- SE Mark Holcomb จัดมาร์คไหนดี?
จากที่ติดตามกีตาร์แบรนด์นี้มานาน ผมคิดว่ากีตาร์ในไลน์ SE มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สวยขึ้นเรื่อยๆ และมีความคล้ายคลึงกับรุ่นอเมริกามากขึ้นทุกทีๆ ผมเองก็มีที่เล็งๆอยู่ 3-4 รุ่นเหมือนกันนะ ที่ผมสนใจเป็นอันดับต้นๆ ก็คงเป็น SE Mark Tremonti รุ่นลายเซ็นของมือกีตาร์วง Creed และ Alter Bridge รุ่นเก๋าซึ่งอยู่ในสายการผลิตของ PRS มานานเกือบสองทศวรรษ กับน้องเล็ก SE Mark Holcomb ขวัญใจสาย djent ที่อยู่ในสายการผลิตมาเพียงสองปีกว่า ทั้งสองมาร์คมีความน่าสนใจแตกต่างกัน มีทีเด็ดที่ไม่เหมือนกันจนผมเองก็ยังลังเล ว่าถ้ามีงบพอสอยแค่ตัวเดียว จะเลือกรุ่นไหนดี
Mark Tremonti
Mark Holcomb
http://www.prsguitars.com/index.php/electrics/se/se_mark_holcomb_2017
แล้วผมก็นึกได้ว่า จะเก็บความคิดเราไว้ในหัวทำไมฟระ เอาออกมาแชร์ให้เพื่อนๆรับรู้ด้วยกันดีกว่า ข้อมูลของผมอาจมีประโยชน์เผื่อมีใครหลอนเหมือนกันอาจช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น (หรือยิ่งยากกว่าเดิม อิอิ) เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาลองดูคร่าวๆกันก่อนนะครับ แต่ละตัวเป็นยังไง เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ ผมขอใช้สเปค model year ล่าสุดนะครับ
เทียบสเปค
เพื่อนๆอาจสังเกตว่าผมไม่เอา SE Tremonti Standard มาเทียบด้วย เพราะผมมองว่าโครงสร้างบอดี้มาฮอกกานีของ Standard สร้างความแตกต่างมากไปทั้งโทนเสียงและราคา เหมือนเป็นกีตาร์คนละกลุ่มครับ
ต่อไปผมจะลงรายละเอียด เทียบกันแบบประเด็นต่อประเด็น จุดต่อจุดนะครับ มีอะไรเหมือนหรือต่างกันบ้าง ไปดูกันเลย
Shape, Woods, and Playability
ท้ังสองมาร์คแตกต่างกันชัดเจนที่ทรงของบอดี้ โดยพี่มาร์คทรีมอนติเป็นทรง singlecut คล้ายๆทรงเลสพอลนั่นแหละ ในขณะที่น้องมาร์คมาในทรง doublecut (หรือจะเรียกว่าทรง PRS Custom ก็ตามถนัด) ประเด็นคือ ไม่ใช่แค่ทรงที่ต่างกัน แต่ปริมาตรเนื้อไม้ของทั้งสองก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะทรง SC ของพี่มาร์คนั้นตัวหนามาก ความหนาโดยรวมประมาณ 57 มิลลิเมตรใกล้เคียงกับเวอร์ชันอเมริกา ทรงนี้โมเดลปัจจุบัน ในขณะที่น้องมาร์คมีความหนาเท่ากับ SE Custom 24 ทั่วไป เมื่อพี่มาร์คมีบอดี้หนากว่า เนื้อเสียงก็ให้ย่านเบสที่หนากว่าน้องมาร์ค เหมาะกับคนที่มองหาความแน่น หนา สำหรับน้องมาร์คแม้จะตัวบางกว่าประมาณเกือบเซ็นต์ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ก็ยังอยู่ในมาตรฐาน SE Custom 24 ที่เพื่อนๆรู้จักกันดี แถมยังได้เปรียบตรงที่น้ำหนักที่เบากว่า คล่องตัวกว่า คนเล่นยืนระยะได้นานกว่า และล้วงเล่นเฟรทในๆได้ง่ายกว่าจากการที่มีชายเว้าบนด้วย ซึ่งทรง sc ของพี่มาร์คไม่มี
SE Mark Tremonti
http://www.prsguitars.com/index.php/electrics/se/se_mark_tremonti_2018
SE Mark Holcomb
ทั้งสองมาร์คใช้สปีชีส์ไม้คล้ายกัน คือบอดี้ด้านหลังเป็นไม้มาฮอกกานี ส่วนด้านหน้าหรือไม้ท็อปเป็นไม้เมเปิลแล้วแปะด้วย veneer ลายเมเปิลอีกทีโดยพี่มาร์คให้วีเนียร์ลายเฟลม แต่น้องมาร์คลายควิลท์ ที่จับคู่ไม้แบบนี้ก็เพื่อส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างโทนเสียงต่ำ-กลาง ของไม่มาฮอกกานี้เข้ากับโทนไบรท์ของไม้เมเปิล เพียงแต่บอดี้ของพี่มาร์คคงได้ย่านต่ำ ได้ความหนาที่มากกว่าอันเนื่องมาจากมวลไม้มาฮอกกานีที่ทั้งหนากว่าและถูกปาดทิ้งน้อยกว่านั่นเอง ในส่วนของไม้คอทั้งสองมาร์คเป็นไม้เมเปิล (ถ้าเป็น Tremonti USA คอจะเป็นมาฮอกกานี) เข้าคอแบบ set-in แถมยังเป็นโปรไฟล์ wide thin เหมือนกันอีก ยิ่งบาง ก็ยิ่งปั่นง่าย เล่นต่อครั้งได้นานกว่า แต่คอของทั้งสองมาร์คก็มีความต่างกันอยู่นะ คือ คอของพี่มาร์คเป็นสเกล 25 นิ้วมาตรฐาน PRS แต่ของน้องมาร์คถูกยืดออกไปเป็น 25.5 นิ้ว เหตุผลก็เพื่อรองรับการดร็อปสายต่ำและใช้สายเบอร์ใหญ่ (รุ่นนี้ใส่สายเบอร์ .010 และจูนดร็อป C มาจากโรงงาน) แต่ทีเด็ดอีกอย่างของคอน้องมาร์ค คือเคลือบด้าน (satin) ทำให้ลื่นมือ เล่นง่าย
http://www.prsguitars.com/index.php/electrics/se/se_mark_holcomb_2018
นอกจากสเกลคอต่างกันแล้ว จำนวนเฟรทก็ต่างกัน พี่มาร์คมาในสไตล์วินเทจ 22 เฟรท แต่น้องมาร์คโมเดิร์นกว่า จัดให้ 24 เฟรทเต็มสอง octave แถมเป็นเฟรทขนาดจัมโบ้ด้วย นอกจากนี้ฟิงเกอร์บอร์ดของน้องมาร์คยังเป็นไม้ ebony ซึ่งให้สัมผัสในการเล่นที่ลื่นกว่าไม้ rosewood ของพี่มาร์ค ไม้ ebony มีคาแรคเตอร์โดดเด่นในเรื่องความพุ่ง ไบรท์ ซึ่งก็เหมาะดีกับแนวเมทัล hi gain ดร็อปสายต่ำๆที่คุณ Mark Holcomb แกโปรดปราน
นอกจากไม้ของบอร์ดต่างกันแล้ว รัศมีความโค้งของบอร์ด (เรเดียส) ก็ต่างกันเป็นเท่าตัว คือของพี่มาร์ค 10 นิ้วมาตรฐาน PRS แต่ของน้องมาร์คมาแปลก ล่อไป 20 นิ้วเต็ม เรเดียสยิ่งมากก็ยิ่งแบน ยิ่งเล่น single note ได้ง่าย ปั่นสนุก เมื่อรวมคุณสมบัตินี้เข้ากับบอร์ด ebony และคอบางๆที่เคลือบด้าน เพื่อนๆก็คงสรุปได้ไม่ยากนะครับว่า คอของน้องมาร์คออกแบบมาเพื่อความเร็ว ความลื่น และความเคลียร์ของเนื้อเสียง อย่างชัดเจนไม่ต้องเดา แต่พี่มาร์คก็จะได้คาแรคเตอร์เสียงที่มีความหนาจากไม้ rosewood นะครับ
Decorations
งานประดับของสองพี่น้องในปีล่าสุดถือว่าจัดหนักกว่าที่ไลน์ SE เคยทำมา นอกจากอินเลย์นกที่มีเหมือนกันแล้ว ทั้งคู่ยังมาพร้อมกับลายเซ็นลุงพอลที่ headstock และลดขนาดโลโก้ SE ลงไปเหลือตัวนิดเดียว truss rod cover ก็มีการเขียนชื่อรุ่นไว้ จากแต่ก่อนที่เขียนไว้แค่คำว่า “PRS” ทำให้ SE ทั้งสองรุ่นนี้ดูใกล้เคียงกับรุ่นต้นฉบับ USA ขึ้นไปอีกระดับ top ของพี่มาร์คมีขอบบายดิ้งแต่น้องมาร์คไม่มีตรงนี้ แต่จะมีเป็นบายดิ้งฟิงเกอร์บอร์ดสีขาว เข้ากันกับนัทสีขาว ดูดีมีอะไรไปอีกแบบ
SE Mark Tremonti top binding
SE Mark Holcomb fingerboard binding
เรื่องของสีสัน ทั้งพี่และน้องมาร์คตอนนี้มีแค่คนละสีนะครับ พี่มาร์คเป็นสีเทาดำ grey black สียอดนิยมที่ละม้ายคล้ายตัว USA ที่เจ้าของลายเซ็นชอบใช้บ่อยๆ ส่วนของน้องมาร์คจะมากับสี Holcomb Burst ไล่โทนเทา-ม่วง-ดำ ซึ่งสีนี้มีความพิเศษเพราะเป็นสีเฉพาะสำหรับรุ่น Holcomb แต่สีนี้จะไม่มีบายดิ้งตรงขอบไม้ท็อปนะครับ
Hardwares
ทั้งสองมาร์คมากับลูกบิด PRS designed ปั๊มโลโก้ PRS ไม่ล็อกสายเหมือนๆกัน นัทเป็นวัสดุลดความฝืดเวอร์ชัน SE ตรงนี้ผมขอแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ควร upgrade เป็นลูกบิดเป็นแบบล็อกสายและถ้าจะให้ดีก็เปลี่ยนหานัทลื่นๆ พวก Graphtech มาใส่ก็ดี ไม่ใช่ว่าของเดิมไม่ดีนะครับ มันก็ใช้งานได้ดีแหละถ้าใส่สายถูกวิธี แต่ลูกบิดล็อกสายและนัทลื่นๆ ช่วยลดโอกาสสายเพี้ยนได้มาก แถมเปลี่ยนสายโคตรง่ายกว่าครับ
ปุ่มคอนโทรลของทั้งสองรุ่นนี้ต่างกัน ของพี่มาร์คยังเป็นแบบกลมๆ ที่เรียกว่า speed knobs ซึ่งเป็นดีไซน์วินเทจเก่าแก่ที่อยู่คู่วงการกีตาร์ไฟฟ้ามาหลายทศวรรษซึ่งก็ดูคลาสสิคดี แต่จะว่าไปก็มีโอกาสลื่นมือนะถ้าเหงื่อออกเยอะๆ ส่วนของมาร์คเล็กจะมาแนวเมทัลๆ คือเป็นปุ่มโลหะกลึงหนามๆ สไตล์คล้ายๆพวกกีตาร์ Ibanez การจับหมุนต่างๆจะทำได้ง่ายกว่า แต่มีข้อเสียคือไม่มีตัวเลขอยู่บนปุ่ม แต่ผมว่าคงไม่ใช่ปัญหานะครับถ้าฝึกใช้คนคุ้นชิน เราจะรู้เองว่านิ้วเราเกี่ยวมันลงไปขนาดไหนจะให้เสียงยังไง
แต่จุดที่เป็นไฮไลท์ที่แยกทั้งสองมาร์คให้อยู่คนละมุมคือ หย่องหรือ bridge ครับ เพราะพี่มาร์คมาสายโยกเต็มๆ ด้วยคันโยกแบบดึงได้ กดก็ได้ ถูกใจขาร็อกแน่นอน ซึ่งแม้แต่ SE Custom 24 ก็ไม่มีลูกเล่นแบบนี้ การใส่-ถอดก้านคันโยกก็ทำได้โดยสะดวก เพราะสามารถใส่ก้านคันโยกเข้าไปได้เลย ไม่ต้องหมุนเกลียว โดยจะมีน็อตตัวเล็กๆ ให้ขันตั้งความแน่น-หลวมของก้านคันโยก ตรงกันข้ามกับน้องมาร์คที่ไม่มีคันโยก แต่กลับเป็นบริดจ์ที่ PRS เรียกว่า Plate style fixed bridge ที่ดูเผินๆก็คล้ายๆกับมีคันโยกน่ะแหละ คือยังมี saddles 6 อันให้ปรับ intonation และตั้งแอคชันสูงต่ำได้ไม่ต่างจากคันโยก เพียงแต่ข้างใต้แผ่น plate นั้น ไม่มีกลไกหรือสปริงใดๆ และแน่นอนว่าไม่มีรูใส่ก้านคันโยก วิธีการใส่สายก็สอดทะลุหลังบอดี้ออกมาด้านหน้า แต่แม้หย่องของน้องมาร์คจะโยกๆๆ ไม่ได้อย่างของคุณพี่ แต่ข้อดีที่หลายคนอาจไม่รู้ คือ การไม่มีกลไกคันโยกช่วยทำให้ซัสเทนยาวขึ้น โน้ตนิ่งขึ้น ซึ่งจากที่ผมลองของจริงมาด้วยตัวเองก็ต้องยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ สายมันสั่นยาวอย่างรู้สึกได้แม้จะเปิด clean channel ก็ตาม
SE Mark Tremonti trem-up tremolo and speed knobs
PRS SE Mark Holcomb plate style fixed bridge and knurled knobs
Tones and Controls
มาว่ากันต่อเรื่องของเสียงและภาคไฟฟ้านะครับ แม้ทั้งคู่จะมาพร้อมปิคอัพ humbucker สองตำแหน่งเหมือนกัน แต่แน่นอนว่าปิคอัพที่ใช้นั้นเป็นคนละรุ่น พี่มาร์คปี 2017 ได้รับการ upgrade ปิคอัพเป็นรุ่น Tremonti “S” ที่มีความแรง พุ่ง ดุดันกว่าปิคอัพตัวก่อน แต่ก็เล่นได้หลายแนวเพราะไม่ได้มีคาแรคเตอร์เฉพาะเจาะจงมากมายนัก แค่แรงขึ้น พุ่งขึ้น และถ้าเอาไปใช้เล่นออกงานก็เหมาะครับ ปิคอัพรุ่นพี่มาร์คควบคุมด้วย toggle 3 ทาง 2 volume 2 tone ไม่ตัดคอยล์ คลาสสิค เรียบง่าย และกีตาร์รุ่นนี้ก็ใช้คอนโทรลแบบนี้มาตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มผลิต ไม่เคยเปลี่ยน
ส่วนน้องมาร์คมากับปิคอัพรุ่นลายเซ็น Seymour Duncan รุ่น Omega (treble) และ Alpha (bass) ซึ่งเป็นแม่เหล็ก ceramic high output 12.96k DC resistance เป็นปิคอัพสเปคเดียวกันกับเวอร์ชัน custom shop ที่ติดตั้งใน PRS Mark Holcomb limited USA คลีนของ Alpha & Omega นั้น ใสสะอาด เคลียร์มากๆ ส่วนเสียงแตกคงไม่ต้องพูดถึง แรง ดุดัน แต่เป็นความแรงแบบไม่แหลมบาดหู มีย่านกลางให้ใช้เยอะพอสมควร แต่ไม่บวมเบลอ ไม่วินเทจ เป็นคาแรคเตอร์เสียงที่เหมาะกับการดร็อปสาย เล่น เปิด gain หนักๆ ถ้าเอามาดีดโน้ตสไตล์ percussive แบบเจ้าของลายเซ็นคงเหมาะเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อมีบริจ์แบบ fixed ก็ได้แต้มต่อเรื่องซัสเทนยาว แต่โทนเสียงของปิคอัพน้องมาร์คคงไม่เหมาะกับโทนหวานๆ อย่างแจ๊สหรือบลูส์นะครับ และด้วยความที่กีตาร์รุ่นน้องมาร์คใช้พื้นฐานเดียวกันกับ SE Custom 24 ดังนั้นคอนโทรลจึงเหมือนกัน คือเป็น blade switch 3 ทาง 1 volume 1 tone ซึ่งสามารถดึงขึ้นเพื่อตัดคอยล์ได้ และอยากบอกว่าน้องมาร์คตอนตัดคอยล์นี่ คลีนของเค้าทั้งใส ทั้งเด้งได้ใจจริงๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ ปิคอัพรุ่นนี้เอกลักษณ์ชัดเจนมาก บางคนชอบ แต่บางคนก็อาจไม่ชอบเลยก็เป็นได้
เรื่องของโทนเสียงนี่เป็นเรื่องรสนิยมส่วนบุคคลครับ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าพี่มาร์คหรือน้องมาร์คจะเสียงดีกว่ากัน ผมทำได้แค่อธิบายคาแรคเตอร์คร่าวๆ พอเป็นแนวทาง อยากรู้ของจริงซาวด์เป็นยังไง ตอบสนองการเล่นยังไง คงต้องไปลองเองนะครับ
Accessories
ทั้งสองพี่น้องมาพร้อม gig bag PRS SE ตามมาตรฐานของซีรีส์นี้ครับ
สรุป
ความสวย
มันสวยคนละอย่าง คนละทรง พูดยากนะครับ เหมือนเอากล้วยไปเปรียบกับส้ม ข้อนี้ผมให้เสมอครับ
ความสบาย
ทั้งคู่มากับคอบาง เป็นโปรไฟล์คอที่เล่นง่ายสุดในสารบบ PRS แต่น้องมาร์คได้เปรียบตรงที่คอเคลือบด้าน ฟิงเกอร์บอร์ด ebony และตัวบางกว่า น้ำหนักจึงเบากว่า ดังนั้นนอกจากสบายแล้วน้องมาร์คยังได้ความคล่องตัวมากกว่า ข้อนี้ผมเลยให้น้องมาร์คได้แต้มครับ
เสียง
เรื่องของเสียงเป็นเรื่องของรสนิยม คงฟันธงได้ยาก แค่อยากย้ำว่าปิคอัพ SD Alpha + Omega มีคาแรคเตอร์เสียงเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนนะครับ แต่พี่มาร์ค ข้อนี้แล้วแต่เพื่อนๆไปให้คะแนนกันเองครับ
ความคุ้มค่า
ราคามือหนึ่งของพี่มาร์คปีปัจจุบันอยู่ที่ 24,850 บาท ส่วนน้องมาร์ค 30,800 บาทแต่ก็ได้สเปคที่สมราคา ได้อะไรที่เราจะไม่เจอใน SE ตัวไหนๆ แต่มุมมองของผมคือ ต้องระวังน้องมาร์คเรื่องเสียงนะครับ ถ้าชอบเสียงสไตล์นั้นจริงๆ ซื้อมาก็คุ้ม แต่ถ้าถอยมาแล้วดันไม่ชอบ หรือต้องโมดิฟายเปลี่ยนปิคอัพหรือขายต่อมือสอง การถอยน้องมาร์คก็จะกลายเป็นไม่คุ้ม และ SE Tremonti จะกลายเป็นคุ้มค่ากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะปิคอัพที่คาแรคเตอร์ไม่จำเพาะเจาะจงมากนัก แถมจะขายจะโมดิฟายก็เจ็บตัวน้อยกว่า เพราะราคาต่ำกว่าหลายพันบาท ดังนั้นเรื่องความคุ้มค่า ผมว่าเล่น SE Tremonti ชัวร์กว่าครับ
ฟันธง
ผมสรุปว่าทั้งสองพี่น้องได้คะแนนสูสีกันนะครับ มีดีไปคนละอย่าง พี่มาร์คได้เนื้อเยอะ ราคากำลังดี แต่น้องมาร์คได้ความสบายในการเล่นแถมซัสเทนยาวได้ใจ
เอางี้ดีกว่า ผมว่าเพื่อนๆไปลองเล่นเองดีกว่าครับ จะได้ฟังเสียงตัวเป็นๆด้วย แต่บอกได้ว่าจะตัวพี่หรือตัวน้องก็ของดีทั้งคู่ครับ ได้ความว่าอย่างไรก็เอามาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคร้าบ
ขอบคุณครับ