อัพเดท Gibson ในศาลล้มละลาย และย้อนรอยความผิดพลาด 7 เรื่องของ Gibson

ความคืบหน้า Gibson ยื่นขอล้มละลาย

จากกรณีที่แบรนด์กีตาร์ยักษ์ใหญ่ Gibson ยื่นขอสถานะล้มละลายเพื่อพิทักษ์ทรัพย์ ก่อนจะดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ที่ผมเคยติดตามมานำเสนอเพื่อนๆตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานั้น

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปัจจุบัน Gibson ขอยืดเวลาส่งรายงานทางการเงินออกไปถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2018 เนื่องจากต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานทางการเงินของบริษัทลูกของ Gibson ในต่างประเทศ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงแบรนด์ลูกแบรนด์ไหนบ้าง ซึ่งก็มีบางแบรนด์ที่ Gibson จำใจต้องปล่อยให้บริษัทอื่นเช่าช่วงต่อเพราะบริหารเองต่อไปไม่ไหว ซึ่งก็เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ Gibson ได้ยื่นต่อศาลไป

คลิกอ่านซีรีส์เรื่องราวความเป็นมาของ Gibson ตั้งแต่ส่อเค้าไม่ดีทางการเงิน จนถึงวันล้มละลายได้ที่นี่ครับ

คุณ Henry Juszkiewicz ซีอีโอ Gibson Brands Inc.

http://www.latimes.com/entertainment/music/la-et-ms-gibson-brands-guitar-henry-juszkiewicz-20170618-htmlstory.html

ผมยังติดตามเรื่องนี้ต่อเพราะยังสนใจว่า หลังจากกระบวนการทางศาลสิ้นสุดลงและคุณ Henry Juszkiewicz CEO ที่กำลังจะยุติบทบาทเจ้าของกิจการผู้ถือหุ้นใหญ่กลายเป็นที่ปรึกษา แล้วแบรนด์นี้ที่เราเคยรู้จักจะเปลี่ยนไปเช่นไร? ทั้งในส่วนของตัวกีตาร์รุ่นต่างๆ สเปคกีตาร์ ราคา รูปแบบการขาย ศิลปินที่จะมา endorse ฯลฯ ผมเคยนำเสนอมุมมองที่น่าสนใจของเว็บไซต์ขายเครื่องดนตรีออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา reverb.com มาแล้วว่า เว็บนี้กับผมต่างก็มีมุมมองที่คล้ายกันในเรื่องอนาคตของกีตาร์ Gibson และแนวโน้มราคา ใครยังไม่ได้อ่านคลิกที่นี่ครับ เราอาจคิดเหมือนหรือต่างกันก็ได้ ไม่มีใครผิดครับ

สำหรับ Philips แบรนด์ลูกเจ้ากรรมที่ Gibson อุตส่าห์กู้เงินไปซื้อมาแล้วพาเจ๊งเพราะไม่ทำกำไร (หรือไม่ก็เพราะ Gibson เองที่บริหารไม่เป็น) นั้น เว็บไซต์ twice.com รายงานว่า ตอนนี้ Gibson ให้บริษัท Jasco ผู้ผลิตสินค้า IT ของอเมริกาเช่าลิขสิทธิ์ในการใช้ชื่อยี่ห้อ Philips ทำตลาดแทน สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Philips ที่ Jasco จำหน่ายก็เช่น เสาอากาศ แบตเตอรี่ สายสัญญาณสำหรับเครื่องใช้เพื่อความบันเทิงภายในบ้าน เครื่องกรองไฟ ที่ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย ฯลฯ ก็น่าคิดนะครับ ว่าถ้า Gibson เจ๊งเพราะแบรนด์ Phillips ไม่ดี ไม่เป็นที่นิยม แล้วทำไมคนอื่นเขากล้ามาขอเช่าลิขสิทธิ์เอาไปบริหารต่อล่ะ?

https://twitter.com/bhaskardk/status/817098915833004032/photo/1

 

ย้อนรอยความผิดพลาด “Gibson ทำไปได้ยังไง?”

อันนี้ไม่เกี่ยวกับคดีความ ผมเจอบทความนี้ระหว่างที่อ่านข่าวอัพเดทเรื่องล้มละลาย เห็นว่าอ่านสนุกดีเลยเอามาแชร์ครับ

คือคุณ Tony Bacon คอลัมนิสต์ชื่อดังของวงการกีตาร์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกีตาร์มากมาย ได้เขียนบทความตั้งคำถามเกี่ยวกับ 6 เรื่องแปลกๆในอดีตที่แบรนด์ Gibson เคยทำไว้ ซึ่งเป็นผลงานที่ทั้งแปลกและแป้ก ผลิตออกมาแล้วก็ขายอยู่ได้ไม่นาน คุณ Tony กล่าวไว้ในบทความของแกว่า อยากให้การรวบรวมความผิดพลาดในอดีตนี้ เป็นเสมือนคำเตือน เป็นอุทธาหรณ์สำหรับเจ้าของใหม่ ผมเห็นว่าน่าสนใจก็เลยสรุปมาให้ได้อ่านกัน และผมมีมุมมองของผมเพิ่มอีก 1 เรื่องเพิ่มเติมตรงท้ายบทความด้วยครับ

1. กีตาร์ Gibson ติด synthesizer?

 

ในปี 1987 Gibson ซื้อบริษัท K-Muse ผู้ผลิต Photon Synthesizer ระบบสังเคราะห์เสียงที่ประกอบด้วย MIDI adapter กับ optical pickup บนตัวกีตาร์ หลังจากซื้อบริษัท K-Muse เข้ามาแล้ว ทาง Gibson ก็ได้มอบหมายให้คุณ J.T. Riboloff เจ้าของแบรนด์ K-Muse จัดการโมดิฟายกีตาร์ Gibson โดยให้ติดตั้งระบบดังกล่าว Riboloff ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าเป็นงานโมดิฟายที่ยากมากเพราะเป็นการฝืนเอาอะไรที่ไม่ควรใช้ร่วมกันมาจับคู่อยู่ด้วยกัน เขาต้องทำทั้งเจาะบอดี้ติดตั้งแจ๊ค 24 pin ติดตั้งปิคอัพ Photon ตั้งสายกีตาร์ Les Paul ที่ติดระบบนี้ให้เป็น high E ทั้งหมด รวมถึงสร้างเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับทำงานนี้ แต่สุดท้ายกีตาร์ Gibson ที่ติดตั้งระบบ Phantom Synthesizer ก็หายไปจากสายการผลิตหลังจากพยายามขายอยู่หนึ่งปีแต่ไม่ประสบความสำเร็จ

2. Gibson กับลูกบิดอัตโนมัติ

นวัตกรรมนี้ผมเกิดทัน ฮ่าๆ ย้อนไปเมื่อปี 2007 (2550) Gibson เปิดตัวกีตาร์ล้ำยุคในขณะนั้นในชื่อซีรีส์ Robot หรือกีตาร์หุ่นยนต์ มันมากับระบบลูกบิดอัตโนมัติรุ่นแรกที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งให้ลูกบิดหมุนตั้งสายด้วยตัวเองเป็น tuning ต่างๆ ได้ 6 แบบแถมผู้ใช้งานยังสามารถตั้ง preset เองได้ด้วย

https://www.gbase.com/gear/gibson-robot-guitar-limited-edit-2007-blue-si

จากนั้น Gibson ก็ก้าวไปอีกขั้นของนวักรรมกีตาร์ไฮเทค ด้วยการเปิดตัว Gibson Dark Fire ในปีต่อมา Dark Fire เป็น Robot Guitar ที่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย เช่น ปุ่มเลือกเสียง (CPA) เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ บริดจ์ piezo เลียนเสียงกีตาร์โปร่งซึ่งสามารถปรับระดับการผสม (blend) กับเสียงกีตาร์ไฟฟ้าได้อย่างอิสระจาก 0 – 100%

https://en.audiofanzine.com/lp-shaped-guitar/gibson/les-paul-series-dark-fire/medias/pictures/a.play,m.452096.html

อะ สมัยนั้นมี Youtube ละ แต่ยังไม่ HD

ตอนนั้นที่ผมเห็น Dark Fire ครั้งแรก จำได้ว่ารู้สึกชอบมันมาก รู้สึกว่ามันเจ๋งสุดๆ ตอนนี้กลับมามองดูอีกที ทำไมรู้สึกว่ามันดูเหมือน LP Studio ยังไงก็ไม่รู้

หลังจากกีตาร์ Dark Fire ผ่านพ้นไป Gibson ก็เปิดตัวลูกบิด Min-Etune ติดตั้งเป็นออพชัน และตัดระบบไฟฟ้าซับซ้อนก่อนหน้าออกไป เหลือเพียงระบบตั้งสายอัตโนมัติให้ใช้ ต่อมาในปี 2015 Gibson ตีแบรนด์ของตัวเองในชื่อ G-Force บนลูกบิดออโต้ และประกาศว่าจะติดตั้งลูกบิดเทพนี้เป็นสเปคมาตรฐานบนกีตาร์ทุกรุ่นพร้อมทั้งขึ้นราคากีตาร์ด้วย แต่ดูจะไม่เป็นที่ยอมรับของลูกค้าส่วนใหญ่ เลยยอมถอย โดยเปลี่ยนเป็นออพชันเสริมสำหรับกีตาร์เกรด High Performance ตั้งแต่ปี 2016

https://www.zzounds.com/item–GIBLPCS15

แต่ก็เหมือนคนดวงตก  เพราะในช่วงที่กำลังประสบกับมรสุมทางการเงินก่อนล้มละลายไม่นาน Gibson ก็ถูกผู้ผลิตลูกบิดอัตโนมัติฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย คลิกอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ

3. Les Paul Personal

https://shop.guitarpoint.de/en/1970-Gibson-Les-Paul-Personal-Walnut

 

ในปี 1969 Gibson สร้างกีตาร์ Les Paul รุ่นหนึ่งตามกีตาร์ที่คุณปู่ Les Paul สร้างไว้ใช้ส่วนตัว กีตาร์ที่ว่านี้ชื่อ Les Paul Personal (personal แปลว่า เป็นส่วนตัว) โครงสร้างของกีตาร์เป็นไม้มาฮอกกานีประกบหน้าหลังสไตล์ขนมแพนเค้ก เอกลักษณ์ของกีตาร์ Gibson ยุค Norlin ครอบครอง กีตาร์รุ่นนี้ไม่มีไม้ท็อปเมปิล คอเป็นไม้มาฮอกกานี ฟิงเกอร์บอร์ด ebony มากับระบบไฟฟ้าที่ไม่เหมือนใคร ดังนี้ครับ

  • ปิคอัพ low impedance humbucker สองตัว วางเอียง
  • 3 way toggle selector เลือกปิคอัพ
  • ปุ่มปรับ EQ สองย่าน Bass กับ Treble
  • สวิทช์ Tone Selector 3 ตำแหน่ง
  • สวิทช์ Phase In/Out 2 ตำแหน่ง
  • ปุ่มหมุน 11 แก๊กที่เรียกว่า Decade Control
  • ปุ่มวอลุ่มของไมค์ พร้อมแจ๊คไมค์ที่ upper bout ใกล้กับ pickup selector

ปิคอัพความต้านทานต่ำของกีตาร์รุ่นนี้ เวลาจะใช้งานต้องใช้ร่วมกับสายสัญญาณที่มีตัวบูสต์เพื่อให้สามารถต่อเข้ากับแอมป์กีตาร์ได้เนื่องจากความต้านทานของแอมป์นั้นสูงกว่า สวิทช์เลือก Phase ทำหน้าที่เลือกผสมเอาท์พุทว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านวงจร ซึ่งจะมี tone Switch ให้สับเลือกอีก 3 ตำแหน่ง เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีปุ่มเลือกโทนเสียงอีกปุ่มที่เรียกว่า Decade Control 11 ตำแหน่ง สามารถเปลี่ยนเสียงกีตาร์ได้กว้างมาก ไล่ตั้งแต่แทบจะเหมือนกีตาร์โปร่งจนไปถึงเปิดปิคอัพ full humbucker นับจริงๆได้กี่เสียงเน่ีย ปรับได้เยอะแยะไปหมด PRS 513 ที่มี 13 เสียงนี่อย่ามาเทียบเลย ฮ่าๆ

แต่ผมสะดุดตาเจ้าสิ่งนี้มากกว่า มันคือรูแจ๊คไมโครโฟนพร้อมวอลุ่มของไมค์! เพราะกีตาร์ต้นฉบับที่ปู่ Les Paul นั้นมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ด้วย ปู่ใช้ไมค์ที่ติดตั้งอยู่บนกีตาร์พูดกับผู้ชมคอนเสิร์ตระหว่างเพลง พูดเสร็จก็เล่นกีตาร์ต่อ แต่ผมไม่รู้ว่ามีใครเอาไปใช้เหมือนปู่บ้างมั้ยนะครับ

พูดไปก็คงนึกภาพไม่ออกใช่มะ งั้นดูคลิปสาธิตวิธีใช้ดีกว่าครับ

Gibson Les Paul Personal ทำยอดขายไม่ดีนัก และเลิกผลิตไปหลังจากเปิดตัวได้เพียงสองปี จากนั้นก็มีกีตาร์แนวนี้ตามมาอีก เช่น Les Paul Recording ในปี 1973

4. Gibson เพนท์ลาย เอาใจคอเมทัล

ในยุค 1980s ดนตรีสมัยนั้นก็ แน่นอน ร็อก เฮฟวี่เมทัล กีตาร์ฮีโร่ ตลาดแฟชั่นกีตาร์ในยุคนั้นนิยมกีตาร์แนว Super Strat เพนท์สีฉูดฉาดเฟี้ยวฟ้าว Gibson เองก็เอากะเขาด้วย โดยการเปิดตัวกีตาร์ในซีรีส์ Designer ซึ่งก็คือกีตาร์ทรง Explorer และ Flying V ซึ่ง ณ ปี 1984 แค่ทรงเฟี้ยวมันคงไม่ได้ละ สีสันต้องเฟี้ยว ก็จัดการเพนท์สารพัดลวดลายลงบนบอดี้ เช่น Blue Splash, Lido (เป็นเส้นตรงๆ), wave length (รูปคลื่นวิทยุ) และอีกมากมาย หลายแพทเทิร์น จน Gibson ไม่รู้จะหาชื่อเรียกเหมาะๆว่าอะไรดี เลยตั้งชื่อเป็นตัวเลขซะเลยก้มี ตัวอย่างก้ตามนี้ครับ

ลาย Lido

https://reverb.com/item/6563241-gibson-designer-series-explorer-black-gold-1984-s503

 

Blue Splash

https://www.musicgoroundhoustonnorth.com/p/662864/used-gibson-explorer-1984-electric-guitar-white

ลายแบบนี้เรียกว่า style 31

https://www.seymourduncan.com/forum/showthread.php?170952-Who-owns-a-Gibson-Flying-V

และอีกมากมาย…

http://www.flying-v.ch/f_83desi/1983desi.htm

อย่าว่าแต่ Gibson เลยครับ ยุคนั้นมันก็เป็นกันทั้งวงการนะแหละ ฮ่าๆ

เพื่อนๆคนไหนอายุเกิน 30 อย่าบอกว่าไม่รู้จักรุ่นนี้สีนี้นะครับ

http://www.farlake.com/blog/?tag=ibanez-jem-777dy

 

5. Gibson ทรงหัวตัด แต่ดันมีหัว

ราวๆปี 1982 ยุคนั้นแฟชั่นกีตาร์หัวตัดกำลังเป็นที่ฮือฮา ซึ่งในช่วงนั้น Gibson ก็เพิ่งซื้อ Steinberger เข้ามา ในเวลานั้น Gibson ต้องการสร้างกีตาร์หัวตัดภายใต้แบรนด์ของตัวเองในชื่อ corvus และ Futura คุณ Chuck Burge พนักงานของแผนกวิจัยและพัฒนาของ Gibson ในเวลานั้นจึงได้รับมอบหมายให้ออกแบบกีตาร์หัวตัดแบรนด์ Gibson ขึ้น

การดีไซน์กีตาร์หัวตัดที่ว่านั้นบอดี้ที่ต้องถูกตัดเว้าแหว่งจากด้านท้ายเข้าไปเพื่อติดตั้งชุดคันโยกและลูกบิด (นึกถึงบอดี้ของกีตาร์ Steinberger GR นะครับ) เมื่อ Chuck ออกแบบเสร็จและเอาไปให้ฝ่ายขายดู ผลก็คือถูกคอมเมนท์ว่า “ม่ายยยย แบบนี้ไม่ได้นะ ใส่หัวเข้าไปด้วย” แล้วก็ร่างแบบ headstock ของกีตาร์รุ่นนี้มาให้ ซึ่ง Bruce Bolen หัวหน้าแผนกวิจัยฯในขณะนั้นบ่นว่าหัวกีตาร์ที่ถูกบังคับให้สร้างนั้น มันทำลายดีไซน์ดิมที่แผนกของเขาอุตส่าห์ทำไว้ซะป่นปี้ และพวกเขาเรียกหัวกีตาร์เจ้ากรรมอันนี้ว่า “หัวกีตาร์ทรงกระจู๋ (limp-dick head)” ฮ่าๆๆ

https://reverb.com/ca/item/4062062-1983-gibson-corvus-futura

https://reverb.com/uk/item/4488678-1983-gibson-futura-through-neck-w-gibson-super-tune-vibrola-super-rare-corvus

กีตาร์หัวกระจู๋ขายอยู่ได้สองปีก็มีอันต้องเป็นหมันยกเลิกการผลิตไป แต่ผมว่ามันก็สวยดีนะครับ

6. Gibson ชื่อรุ่นชวนสับสน Les Paul Junior Special

ปี 2001 Gibson เปิดตัวกีตาร์ Les Paul Junior Special Plus ซึ่งจะว่าไปก็สร้างความสับสนเพราะชื่อรุ่น Junior นั้น โดยปกติต้องเป็นกีตาร์ 1 ปิคอัพ และ Special มี 2 ปิคอัพ และไม่มีท็อปเมเปิล ดังนั้น Jr. Special Plus 2001 จึงเหมือนเอารุ่น Special มาแปะไม้ท็อปเมเปิล แต่มันงงอีตรงที่มีคำว่า Junior นั่นเอง กีตาร์รุ่นนี้ก็อยู่ในสายการผลิตเพียงสองสามปีเช่นกัน

Les Paul Junior 1957 original

https://www.lespaulforum.com/forum/showthread.php?156271-1957-Gibson-Les-Paul-Junior

2002 Les Paul special

https://guitarchimp.com

2002 Les Paul Junior Special Plus

https://reverb.com/item/6428435-ultra-rare-2002-gibson-usa-les-paul-junior-special-plus-trans-amber-tiger-flame-standard

 

ย้อนรอยความผิดพลาดของ Gibson ในมุมมองของผม

ในช่วงต้น 1980s กีตาร์ Gibson ภายใต้การครอบครองของกลุ่มทุน Norlin กำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างหนัก ทั้งหนี้สินท่วมท้น เนื่องจากลูกค้าหนีหายเพราะคุณภาพการผลิตที่แสนย่ำแย่ ทำให้ยอดขายตกต่ำจนต้องหยุดการผลิตกีตาร์ไปเกือบหมด พวกกีตาร์ Gibson หน้าตาประหลาดๆอย่าง LP Personal, Futura ตลอดจน Explorer ลายแปลกๆ นั่นคือผลงานของยุคนั้น จนในปี 1986 คุณเฮนรี่พร้อมด้วยเพื่อนคู่ใจสมัยเรียนที่ Harvard ได้แก่ David Berryman และ Gary A. Zebrowski ร่วมกันกู้เงินจากธนาคารมาซื้อกิจการต่อจากกลุ่ม Norlin และใช้ความรู้ทั้งทางวิศวกรรมและทางธุรกิจ พลิกฟื้นแบรนด์จนเฟื่องฟูถึงขีดสุดอีกครั้ง

แต่ในปี 2014 Gibson กู้เงินก้อนโตจากสถาบันทางการเงินต่างๆ มาลงทุนซื้อกิจการหลายอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการทำกีตาร์ ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถบริหารกิจการเหล่านั้นให้มีผลกำไร จนไม่มีเงินมาใช้หนี้ได้ทันกำหนด และต้องจบลงด้วยการยกกิจการให้เจ้าหนี้แทนการใช้หนี้  คุณ Henry Juszkiewicz คือผู้ที่ชุบชีวิตแบรนด์นี้จากกลุ่ม Norlin เมื่อปี 1986 แต่สุดท้ายก็เสียมันไปในอีก 32 ปีต่อมา

และนี่ก็คือมุมมองของผมที่ว่า ถ้าจะมีอะไรที่ Gibson ยุคของคุณเฮนรี่มีอะไรที่พลาดจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นการกู้เงินก้อนใหญ่มาลงทุนในธุรกิจที่ตัวเองไม่มีความเชี่ยวชาญนั่นเอง ผมบอกว่าพลาดนะครับ ไม่ได้บอกว่าผิด การลงทุนในธุรกิจแขนงใหม่ๆ ที่ต่างจากธุรกิจหลักผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำคัญที่ว่าผู้ลงทุนเข้าใจธุรกิจใหม่ลึกซึ้งแค่ไหน และจะบริหารจัดการอย่างไรให้เกิดผลกำไรมากกว่า ถ้าไม่พลาด ก็รวยกว่าเดิม แต่ถ้าพลาด ก็อาจแทบไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ธุรกิจหลักที่เคยมี

ผมยังคงเชื่อว่า Gibson ยุคหลังเฮนรี่ต้องดีกว่าเดิมครับ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล มาตรฐานกิบสันมือหนึ่งจากนี้ไปควรจะดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็จะไม่แย่ลง และไม่ว่ามือหนึ่งสเปคจะปลี่ยนไปยังไง เราก็ยังมีของมือสองให้เลือกสอยอยู่อีกมากมาย

ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามอ่านนะครับ

 

อ้างอิง:

https://reverb.com/news/why-did-gibson-do-that-six-questionable-guitar-choices-from-the-brands-storied-past


กลุ่มเฟสบุค PRS Club Thailand แอดเข้ามากันได้ คลิกที่นี่ครับ

กด Like page ของผมได้ที่นี่จ้า